รักนี้ดีหรือเปล่า? สำรวจความใกล้ชิด เราติดอยู่กับคนหลงตัวเองหรือเปล่านะ?

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2567 เวลา 08:38 • ใช้เวลาอ่าน 3 นาที
1920x960_ปก (9).JPG

 

เคยเจอโมเมนต์แบบนี้กันไหม??

“พี่คนนั้นดูแคร์เรามากเลย ช่วยเหลือเราทุกอย่าง แต่ทำไมเราอึดอัดจัง”

“คนคุยเหมือนจะมีใจ แต่อยู่ดีๆ ก็หาย ปล่อยแชทหนักขวา พอจะกดบล็อกก็โผล่มาถามว่าสบายดีไหม”

“แฟนขอคุมโซเชียลมีเดีย กี่แพลตฟอร์มก็ต้องบอกรหัส”

และอีกสารพัดเรื่องราวบนความสัมพันธ์ที่ทำให้เราทั้ง “รัก” และ  “อิหยังวะ” ไปพร้อมๆ กัน 

.

เพราะความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่ไม่ใช่ว่าทุกการกระทำที่เกิดจากความรักจะงดงามเสมอไป พี่ๆ a-chieve เลยอยากชวนน้องๆ มารู้จักความสัมพันธ์ที่เป็นพิษเพราะใกล้ชิดกับคนหลงตัวเอง หรือที่เรียกว่า ‘ภาวะผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder)’ ซึ่งมักจะใช้ความรักเป็นข้ออ้างในการทำเรื่องแย่ๆ ใส่เรา พร้อมๆ กับทำให้เรารู้สึกผิดในความสัมพันธ์ครั้งนี้เสมอ 

.

คนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของคนรักหรือแฟนเท่านั้น เพราะสามารถพบได้ในทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน คุณครู ฯลฯ แต่ก่อนจะไปสำรวจความสัมพันธ์ของเรากับคนใกล้ชิด เราลองมารู้จักลักษณะของคนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองกันก่อนดีกว่า

.

ภาวะผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder) เป็นอย่างไร

จากคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders) ซึ่งจัดทำโดย สมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา (American Psychiatric Association) ระบุว่า คนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองนั้นมักคิดว่าตัวเองดีกว่าผู้อื่น ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ต้องการความรัก ความสนใจ และการชื่นชมยกย่องจากผู้อื่นอยู่เสมอ ทำให้ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อิจฉาและไม่รับฟังคำวิจารณ์ที่ผู้อื่นมีต่อตัวเอง 

นอกจากนี้ ในเว็บไซต์ของคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังระบุถึงงานวิจัยที่พบว่า คนเหล่านี้มักจินตนาการภาพตัวเองในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบ (เกินกว่าความเป็นจริง) อยู่ในใจ แต่ลึกๆ ก็รู้ว่าตัวเองก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป จึงต้องพยายามเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองอยู่เสมอ บุคลิกภาพแบบหลงตัวเองยังเกิดขึ้นได้กับคนที่วัยเด็กครอบครัวมีปัญหา ขาดความรัก ความใส่ใจ ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง ทำให้สูญเสียคุณค่าในตัวเอง จึงรับมือด้วยการเรียกร้องความรัก ความสนใจจากผู้อื่น โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังพังทลายความสัมพันธ์นั้น

.

แบบไหน ใช่แน่? นี่แหละ 5 ความสัมพันธ์แบบบคนหลงตัวเอง!

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า เรากำลังมีความสัมพันธ์กับคนหลงตัวเองอยู่? พี่ๆ a-chieve ขอยกบางลักษณะของความสัมพันธ์เป็นพิษที่เกิดจากการใกล้ชิดกับคนหลงตัวเอง มาให้น้องๆ ได้ลองสำรวจตัวเองกัน จะมีอะไรบ้างนั้น มาติดตามกันเลย

.

1. Love-bombing 

คือ การระเบิดความรัก ทุ่มเทความรัก ให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย หรือที่เรียกกันว่าอาการ “คลั่งรัก” นั่นเอง พวกเขาจะพยายามทำให้อีกฝ่ายประทับใจแบบที่มากเกินไป ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักหรือคบหากันได้ไม่นาน เช่น ซื้อของขวัญให้ ชื่นชม บอกรัก สื่อสารความรู้สึกที่ตัวเองมีต่ออีกฝ่ายอย่างมากมาย เช่น “เราเข้ากันได้แบบ 100%” “เธอเป็นเนื้อคู่ของฉันแน่นอน” “ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ” “เราจะเป็นเพื่อนรักกันตลอดไป” ทั้งต่อหน้าและบนโซเชียลมีเดีย คอยตรวจเช็กว่าอีกฝ่ายทำอะไร อยู่ที่ไหนกับใคร และหากถูกทักท้วง หรือมีการแสดงออกของคนรักว่าไม่พอใจการกระทำดังกล่าว พวกเขาก็จะแสดงอาการน้อยใจ เศร้าใจอย่างรุนแรงจนทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดและยอมตามใจในที่สุด 

.

นอกจากนี้ ความสัมพันธ์แบบ Love-bombing มักจะชอบพูดถึงและเร่งรัดความสัมพันธ์ในอนาคต เช่น การย้ายไปอยู่ด้วยกัน การแต่งงาน มีลูก สร้างครอบครัว ฯลฯ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Love-bombing ต่างจากความสัมพันธ์ที่ดีคือ Love-bombing จะใช้ความรักที่เขาทุ่มเทให้เพื่อบงการชีวิตอีกฝ่าย เมื่อเวลาผ่านไป คนเหล่านี้จะเฉยชา ละเลย ไม่สนใจ จนคนที่ได้รับความรักอาจรู้สึกสับสน รู้สึกผิด น้อยใจ ทำให้หลายๆ ครั้งที่ยุติความสัมพันธ์ลงแล้วอีกฝ่ายจะรู้สึกบอบช้ำ ไร้ค่า ว่างเปล่า จนอาจนำไปสู่การเป็นซึมเศร้าได้ 

.

🧐 หากเรากำลังติดอยู่กับ Love-bombing

เราสามารถระลึกได้ว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขอีกฝ่ายได้ แต่เราสามารถกำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ได้ด้วยการสื่อสารถึงสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ การปฏิเสธสิ่งที่ไม่ต้องการด้วยความชัดเจน และไม่เร่งรัดตัวเองในทุกความสัมพันธ์

.

2. Gaslighting 

คือ รูปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์ที่บิดเบือนความจริงเพื่อทำให้อีกฝ่ายตั้งคำถามกับตัวเอง ไม่มั่นใจ สับสนในตัวเอง หรือเรียกกันว่าการปั่นหัว เช่น พูดถึงความผิดในอดีตของเราซ้ำๆ เพื่อยืนยันว่าทำไมเขาถึงมีสิทธิ์ทำไม่ดีกับเรา และยังทำให้เรารู้สึกผิดตลอดเวลา รู้สึกว่าต้องคอยทำดีและตามใจเขาเพื่อชดเชยสิ่งที่เคยทำ เมื่อมีการถกเถียงกันเขามักจะทำให้เราไม่มั่นใจในความเชื่อของตัวเอง เช่น “เธอจำผิดหรือเปล่า” “เธอคิดไปเองแล้ว” “ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยมีสิ่งนี้เกิดขึ้นด้วย” “เธอกำลังสับสนนะ” “ฉันไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน” และบางครั้งก็มาในรูปแบบของความเป็นห่วงที่ทำให้เราไม่มั่นใจในสุขภาพของตัวเองจนส่งผลต่อการกระทำ เช่น “เธอนอนน้อยไปหรือเปล่า” “เธออาจเครียดมากก็ได้” 

.

การ Gaslighting ยังเป็นการเลี่ยงความผิดของตัวเองด้วยการโทษอีกฝ่ายไว้ก่อน เช่น  “เพราะเธอคิดมากเกินไป ฉันเลยต้องโกหกเธอ” รวมถึงการเบี่ยงเบนประเด็น อย่างการมองว่าอีกฝ่ายนั้นอ่อนไหวเกินไป อ่อนแอเกินไป และยังชอบนำบุคคลที่สามหรือคนหมู่มากมายืนยันข้อมูลเชิงลบกับเรา เช่น “กลุ่มนั้นเขานินทาเธอกันใหญ่” “ใครๆ ก็บอกว่าสิ่งที่เธอทำมันผิด” “ฉันจริงใจกับเธอที่สุดแล้วล่ะ” หากรู้สึกว่าโต้แย้งต่อไม่ได้ เขาอาจเล่นบทเหยื่อเพื่อทำให้เรารู้สึกผิด เช่น “ทำไมเธอต้องกล่าวหาฉัน” “ทำไมต้องขึ้นเสียงใส่กันด้วย” หรือจบด้วยการปิดกั้นการสนทนา ขอไม่พูดคุยกับอีกฝ่ายแทน

.

🧐 หากเรากำลังติดอยู่กับ Gaslighting

ลองจดบันทึกสิ่งต่างๆ ในบันทึกประจำวันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เจอ ความคิด ความรู้สึก เพื่อทบทวนตัวเอง  ไม่ลืมว่าเราสามารถให้อภัยตัวเองสำหรับความผิดพลาดในอดีตได้โดยไม่ต้องให้เขาเป็นผู้ให้อภัยเรา เราสามารถปฏิเสธในสิ่งที่ไม่จริง ยืนหยัดในความเชื่อและความรู้สึกของตัวเองได้ เรามีสิทธิ์เปิดใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่ไว้วางใจเพื่อให้ได้รับความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา ในมุมมองใหม่ๆ ได้ และท้ายที่สุดคือ เรามีสิทธิ์ยุติการสนทนาและมองหาระยะห่างหรือยุติความสัมพันธ์ที่ไม่โอเคกับเราได้

.

3. Silent Treatment 

คือ การไม่โต้ตอบ ไม่พูดคุยกับอีกฝ่าย หรือทำเสมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน โดยการเงียบนั้นจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่อเราทำอะไรไม่ถูกใจอีกฝ่าย และทุกครั้งก็กินเวลายาวนาน ซึ่งมักไม่มีการสื่อสารหรือบอกกับเราว่าเขาต้องการอะไร พวกเขาจะคุยกับผู้อื่นและแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าไม่ต้องการคุยกับเรา จนเราต้องพยายามเปลี่ยนแปลงการกระทำของตัวเองเพื่อให้เขากลับมาพูดกับเราตามปกติ 

การถูกเมินเฉยใส่บ่อยๆ นั้นทำร้ายจิตใจไม่ต่างจากร่างกายเลย เพราะจะทำให้ผู้ถูกเมินรู้สึกสูญเสียคุณค่าในตัวเอง เจ็บปวด และเสียความเคารพตัวเอง

.

🧐 หากเรากำลังติดอยู่กับ Silent Treatment 

ไม่โต้เถียงหรือตั้งคำถามอย่างรุนแรง ไม่รีบขอร้องหรือขอโทษเพื่อให้ทุกอย่างจบลงอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องขอโทษหากไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ลองให้ระยะเวลากับความเงียบ โดยที่เราสามารถนำเวลาเหล่านั้นไปดูแลตัวเอง ดูหนังฟังเพลง หาของอร่อยกิน พูดคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ หรือจดบันทึกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 

ทั้งนี้ การเมินเฉยใส่ผู้อื่น อาจเกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวไม่รู้วิธีการแสดงความรู้สึกต่อผู้อื่นหรือหลีกเลี่ยงที่จะแสดงความรู้สึกออกมา ลองสื่อสารความรู้สึกของตัวเองและความต้องการของเขาเพื่อพยายามทำความเข้าใจ เช่น “ฉันสังเกตว่าเธอไม่ค่อยคุยกับฉันเลย เราคุยกันหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า” อย่างไรก็ตาม หากความสัมพันธ์ไม่ดีขึ้นและเรายังคงต้องจัดการความสัมพันธ์นี้อยู่ฝ่ายเดียว การขอระยะห่างก็เป็นเรื่องปกติที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดนะ

.

4. Passive-Aggressive Behavior 

คือ การโกรธ ไม่พอใจแต่ไม่พูดตรงๆ มักใช้การพูดอ้อมค้อมหรือประชดเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวด โดยที่ผู้พูดมักจะอ้างว่าไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดไปทำร้ายน้ำใจคนฟัง คนที่มีนิสัย Passive-Aggressive Behavior จะเป็นคนที่ไม่สื่อสารถึงอารมณ์โกรธของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา แต่ใช้วิธีอื่นๆ เพื่อแสดงออก เช่น เมื่อต้องทำงานกลุ่ม หากคนกลุ่มนี้ไม่อยากทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แทนที่เขาจะบอกว่าไม่อยากทำหรือปฏิเสธ พวกเขาจะเลือกทำงานแบบส่งๆ หรือทำงานผิดพลาดแทน เช่นเดียวกับงานอื่นๆ ที่พวกเขาไม่พอใจ พวกเขาก็จะรับปากแต่ไม่ทำ หรือแม้กระทั่งปล่อยให้ปัญหาลุกลามใหญ่โตเพื่อที่จะทำให้ทุกคนต้องเจอปัญหาไปด้วยกัน คนกลุ่มนี้ชอบจิกกัด แซะ พูดจาดูถูกคนอื่น ล้อเลียนรูปร่างหน้าตา การใช้ชีวิตของบุคคลอื่น แล้วบอกว่า “แค่ล้อเล่น” หากอีกฝ่ายไม่พอใจก็จะมองว่าผู้ฟังคิดมากเกินไปเอง 

.

นอกจากนี้ ยังรวมถึงการแสดงออกว่าโอเค ไม่เป็นไร แต่แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางว่าไม่พอใจ หรือการไปตั้งสเตตัสด่าแบบไม่เจาะจง ทั้งๆ ที่มีโอกาสสื่อสารต่อหน้า  

การกระทำของคนกลุ่มนี้เป็นการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า พวกเขาต้องการทำให้ผู้อื่นหงุดหงิด สับสน และเครียดกับอารมณ์ที่ไม่แน่นอนของพวกเขา 

.

🧐 หากเรากำลังติดอยู่กับ Passive-Aggressive Behavior  

เราสามารถอธิบายความคิดและความรู้สึกของเราที่เกิดขึ้นจากการเจอ  Passive-Aggressive Behavior  ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะเราไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์ของใคร โดยบอกความรู้สึกและสิ่งที่เขาทำให้รู้ เช่น  “เราไม่โอเคเลยที่เธอพูดแบบนี้กับเรา” “เราสับสนที่เธอบอกไม่โกรธแต่ก็ไม่คุยกับเรา” เพื่อสร้างโอกาสในการสื่อสาร แต่ต้องอยู่บนความใจเย็น ไม่ใช้อารมณ์หรือการขึ้นเสียง ตะคอกรุนแรง แม้ว่าอีกฝ่ายอาจตอบกลับมาอย่างรุนแรง แต่ให้เข้าใจว่านั่นคือกลไกการรับมือของเขาที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราก็จำเป็นที่จะต้องยืนหยัดความรู้สึกตัวเองต่อไป อย่าลืมขอความช่วยเหลือจากคนที่เราไว้ใจหากเหตุการณ์นั้นยากเกินรับมือ บอกให้คนใกล้ตัวรับรู้ว่าเรากำลังเจอกับอะไร หากพูดคุยเสร็จสิ้นแล้วน้องๆ ลองขอบคุณหรือสื่อสารความรู้สึกเชิงบวกเพื่อให้เขารู้ว่า มันเป็นไปได้ที่เราจะสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา เช่น “ขอบคุณจริงๆ ที่เล่าให้ฟัง” “เราดีใจมากนะที่ได้คุยกัน” และสุดท้ายหากความรุนแรงทางอารมณ์ยังคงเกิดขึ้น การถอยออกมาสักพักก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้นะ

.

5. Smear Campaign 

คือ การใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งคนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเองมักจะใช้วิธีนี้จัดการกับคนที่ทำให้พวกเขารู้สึกผิด หรือทำอะไรบางอย่างให้เขาโกรธ โดยพวกเขามักจะโกหก พูดเกินจริง ปรุงแต่งเรื่องที่เกิดขึ้น หรือหยิบเอาเรื่องราวบางส่วนมาบิดเบือนเพื่อใส่ความ ซึ่งจะใช้เวลาสักระยะในการปล่อยข่าวลือ และในขณะที่กำลังทำสิ่งนี้พวกเขามักจะแสดงออกในเชิงหวังดีว่า ต้องการเตือนคนอื่น หรือ ไม่สบายใจที่จะต้องพูดออกมา รวมถึงรับบทเป็นผู้ถูกกระทำ ผู้เสียหายจากเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อต้องการพวกพ้องและความเห็นใจจากคนอื่นมากขึ้น เช่น บางคนใส่ร้ายคู่รักของตัวเองเมื่อเลิกกันเพื่อปกปิดเรื่องที่เคยทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย หรือ เพื่อนบางคนกระจายเรื่องโกหกเกี่ยวกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเพราะไม่พอใจที่อีกฝ่ายขอยุติความสัมพันธ์  หรือคุณครูบางคนนำเรื่องของนักเรียนไปป่าวประกาศว่าเป็นเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียน เพื่อปกปิดว่าตัวเองไม่ตั้งใจสอน เป็นต้น 

.

🧐 หากเรากำลังติดอยู่กับ Smear Campaign

ไม่รีบโต้ตอบในทันที เพราะความกระวนกระวายใจของเราเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ ให้ตั้งสติเพื่อทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และไม่ต้องพยายามโน้มน้าวใจคนอื่นเพื่อบอกว่าอีกฝ่ายโกหก ยกเว้นว่าการใส่ร้ายป้ายสีนั้นมีผลทางกฎหมาย (เช่น ตัดต่อรูปอนาจารลงในอินเทอร์เน็ต) สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความจริงไว้ ไม่ทำหรือเป็นในสิ่งที่เขาใส่ร้าย เพื่อให้การกระทำและเวลาเป็นเครื่องมือยืนยันตัวตนของเราเอง

โปรดระลึกไว้ว่าคนที่รักเราจริงจะเชื่อมั่นในตัวเรา และรับฟังความจริงจากเราเสมอ

.

.

ทั้งหมดนี้คือรูปแบบความสัมพันธ์ที่อาจพบได้ในคนที่มีบุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง ซึ่งยังมีรูปแบบความสัมพันธ์อื่นๆ อีกมาก พี่ๆ a-chieve เข้าใจว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะรับมือกับความสัมพันธ์ที่ไม่ดี แม้ปกติแล้วคนเรามักเริ่มรู้จักกันด้วยความรัก ความหวังดีต่อกันทั้งสิ้น แต่เชื่อเถอะว่า เราต่างมีคุณค่าในตัวเองเสมอ และมีมากพอที่จะไม่ต้องรอการยืนยันจากผู้อื่น ไม่ว่าน้องๆ กำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบใดหรืออยู่กับใคร ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งที่กำลังอยู่ในขั้นเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเข้าหากัน หรือมองหาระยะห่างที่ดีต่อใจ ทุกคนล้วนมีโอกาสที่จะค้นหาและเลือกความรักที่ดีกับตัวเองได้เสมอนะคะ 🙂

.

อ้างอิง

https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/narcissism

https://www.helpguide.org/articles/mental-disorders/narcissistic-personality-disorder.htm

https://www.choosingtherapy.com/narcissistic-abuse-syndrome/



avatar-ผู้เขียน
พัชรพร ศุภผล ผู้เขียน

ใช้แมวเป็นวิตามิน มีร้านหนังสือและแกลอรี่อาร์ตเป็นพื้นที่ปลอดภัย รักเจ้าชายน้อยและคิดว่าตัวเองก็คงมาจากดาวb612 เช่นกัน

avatar-นักออกแบบภาพ
สาธิดา ราหุละ นักออกแบบภาพ

ทาสแมวที่วาดรูปได้นิดหน่อย รื่นรมย์กับคราฟต์เบียร์ การเดินทาง และศิลปะ

Tag :