April fools' day หยุดแล้ว เมื่อไรเธอจะหยุดบ้าง? ชวนรู้จักเหตุผลและวิธีการรับมือเมื่อเพื่อนชอบพูดโกหก

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน 2567 เวลา 06:59 • ใช้เวลาอ่าน 2 นาที
1920x960_ปกเว็ป (2).jpg

 

เราพูดโกหกครั้งล่าสุดเมื่อไร… จำได้ไหมนะ?

เชื่อว่าทุกคนต่างเคยทำสิ่งที่เรียกว่า “การโกหก” ด้วยกันทั้งนั้น มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เราตัดสินใจที่จะไม่พูดความจริง ซึ่งบางครั้งการโกหกก็อาจเป็นแค่เรื่องเล็กๆ จนเราไม่รู้สึกว่ามันคือการโกหก เช่น การลาป่วยไม่ไปโรงเรียนเพราะเผลอตื่นสาย การบอกเพื่อนว่า “ใกล้ถึงแล้ว” ทั้งๆ ที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ 

แต่บางครั้งการโกหกก็ส่งผลบานปลาย สร้างความเสียหายมากกว่าที่เราคิด

.

ไม่ว่าน้องๆ จะเคยพูดโกหกด้วยเหตุผลอะไร หรือมีเพื่อนที่ชอบโกหกจนเป็นนิสัย จับโป๊ะได้เท่าไรก็ไม่ยอมหยุดสักที วันนี้พี่ๆ a-chieve ขอชวนมาทำความเข้าใจการโกหกให้มากขึ้น ด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาที่จะบอกเราว่าอะไรทำให้เราโกหก

.

นั่นน่ะสิ ทำไมคนถึงพูดโกหกกันนะ?

เราอาจคุ้นเคยกับเหตุผลในการโกหก เช่น โกหกเพราะต้องการรักษาน้ำใจ โกหกเพราะความจริงมันโหดร้ายยย โกหกเพื่อปกป้องใครสักคน หรือโกหกเพื่อตัวเราเอง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากสถานการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลให้เราต้องทำเช่นนั้น แต่น้องๆ รู้ไหมว่า ยังมีสถานการณ์และสภาวะทางใจที่ส่งผลให้คนๆ หนึ่งพูดโกหกได้ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

.

1. เราโกหกเพราะ… กลัวที่จะรับมือกับความรู้สึกบางอย่าง

เราไม่ได้โกหกเพราะอยากทำร้ายใคร แต่เราอาจโกหกเพราะกลัวที่ต้องจะรับมือกับความรู้สึกบางอย่างหากพูดความจริงออกไป เช่น ไม่กล้าบอกพ่อแม่ว่าซื้อของมาแพงเพราะกลัวถูกมองว่าใช้เงินฟุ่มเฟือย ไม่กล้าบอกเพื่อนว่างานของเพื่อนทำได้ไม่ดีเพราะกลัวเพื่อนเสียใจ เป็นต้น

การโกหกเป็นกลไกการป้องกันตัวเองที่ช่วยให้คนพูดรู้สึกปลอดภัยขึ้น เพราะการพูดความจริงอาจทำให้ต้องเจอกับความรู้สึกหรือสถานการณ์ด้านลบ เช่น ความผิดหวัง การถูกปฏิเสธ การต่อต้าน การวิพากษ์วิจารณ์ ความเศร้า หรือแม้กระทั่งความรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจ การโกหกจึงเป็นทางออกสำหรับบางคนที่อยากหลีกเลี่ยงอารมณ์เหล่านี้

.

2. เราโกหกเพราะ… ไม่รู้จะสานสัมพันธ์ยังไง

น้องๆ เคยโกหกเพราะอยากให้อีกฝ่ายประทับใจตอนเจอกันครั้งแรกไหม? สำหรับบางคน การโกหกเป็นวิธีทำความรู้จักและสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น พวกเขาจะโกหกเพราะเชื่อว่านี่คือวิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ทำให้เป็นที่รัก ถูกยอมรับ ไม่ถูกทอดทิ้ง หรือเพื่อให้ไม่ถูกทำร้าย ซึ่งการโกหกแบบนี้อาจมีผลมาจากการเลี้ยงดูในวัยเด็กที่ไม่ค่อยดีนัก เช่น 

- เติบโตในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง ทำให้ต้องสร้างตัวตนใหม่หรือสร้างโลกในจินตนาการเพื่อให้รู้สึกปลอดภัย 

- เติบโตในครอบครัวที่ต้องแข่งขัน ถูกเปรียบเทียบกับพี่น้องคนอื่นๆ หรือถูกปล่อยปละละเลยมาก่อน 

.

3. เราโกหกเพราะ..เรากำลังประสบภาวะหลอกตัวเอง (Pathological Lying)

การโกหกสามารถพัฒนาเป็นปัญหาสุขภาพจิตได้เช่นกัน คนที่ชอบโกหกบ่อยๆ อาจมีภาวะหลอกตัวเอง หรือ “พาโธโลจิคอล ลายอิง” (Pathological Lying) ซึ่งเป็นภาวะที่มักเกิดในกลุ่มผู้ที่มีความผิดปกติทางบุคลิกภาพ เช่น ภาวะย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Disorder) ภาวะวิตกกังวล (Anxiety Disorder) ภาวะต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder) ซึ่งอาการที่ทำให้ภาวะหลอกตัวเองต่างจากการโกหกทั่วไป คือ ผู้ที่มีอาการหลอกตัวเอง จะโกหกโดยไม่มีวัตถุประสงค์อะไร แค่ต้องการที่จะโกหกขึ้นมาเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกลำบากใจหรือรู้สึกผิดที่จะพูดความจริง แต่ก็ชื่นชอบการโกหก เมื่อถูกจับได้ก็อาจยอมรับหรือไม่ยอมรับ แต่จะมีการทำซ้ำไปเรื่อยๆ หรือบางคนก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโกหกอยู่ ซึ่งสามารถเยียวยารักษาได้ด้วยการพูดคุยกับจิตแพทย์ 

.

แล้ว “White Lie (โกหกเพราะหวังดี)” มันดีจริงไหมนะ?

การโกหกไม่ได้มีแต่เจตนาร้ายเสมอไป น้องๆ อาจเคยได้ยินคำว่า “โกหกสีขาว” หรือ “White Lie” ซึ่งเป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียก คำโกหกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่สร้างความไม่สบายใจหรืออึดอัดใจ หรือบางคนเรียกสิ่งนี้ว่าการโกหกด้วยเจตนาที่ดี 

ตัวอย่าง  “White Lie” เช่น ลูกที่โกหกพ่อแม่ว่าสบายดี ทั้งๆ ที่อาจกำลังมีเรื่องไม่สบายใจ หรือโกหกว่าไม่เป็นไร ทั้งๆ ที่กำลังป่วยหนัก คู่รักที่อยากให้อีกฝ่ายมีความสุขด้วยการยกไก่ชิ้นสุดท้ายในจานให้แล้วโกหกว่าอิ่มแล้ว เป็นต้น

.

แม้ว่าการโกหกเหล่านี้อาจมีจุดประสงค์ที่ดี แต่การโกหกก็คือการโกหกอยู่ดี 

การโกหกจนเคยชินอาจทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีตามมาได้ มีการศึกษาในปี 2016 ที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านประสาทวิทยาชื่อว่า Nature Neuroscience แสดงให้เห็นว่า สมองจะปรับตัวเข้ากับความไม่ซื่อสัตย์ได้ดี เมื่อเราโกหกเล็กๆ น้อยๆ แต่ทำบ่อย สมองจะทำให้เรารู้สึกว่าการโกหกในเรื่องใหญ่ๆ หรือโกหกเพื่อเจตนาร้าย ก็เป็นเรื่องปกติที่ทำได้เช่นกัน 

การโกหกบ่อยๆ แม้มีเจตนาอยากปกป้องความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่ก็ทำให้ผู้ที่ถูกโกหกเสียความมั่นใจในตัวเองเพราะจะมองว่าตัวเองเชื่อคนง่าย โง่ หรืออ่อนแอเกินกว่าอีกฝ่ายจะพูดความจริงด้วย 

การพูดความจริงแม้จะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีตามมา แต่จะทำให้เราและผู้ฟังได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับอารมณ์เหล่านั้น และได้รู้จักตัวตนของกันและกัน ซึ่งทำให้ใกล้ชิดและผูกพันกันมากขึ้น 

.

วิธีรับมือเมื่อต้องเผชิญกับการพูดโกหก

1. มองหาเหตุผลของการโกหก

เมื่อรู้อีกฝ่ายโกหก จะให้ใจเย็นและรับฟังต่อคงยากไป แต่การปะทะกลับไปตรงๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดโกหก จะยิ่งทำให้คนที่โกหกรู้สึกไม่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงที่จะพูดความจริงหรือสร้างเรื่องโกหกเพิ่มขึ้น 

ดังนั้น เมื่อเราเผชิญกับคนที่กำลังโกหก ให้รับรู้อารมณ์ของตัวเองว่าเรารู้สึกยังไงกับการโกหกครั้งนี้ บอกตัวเองให้ใจเย็นก่อน และพยายามมองหาเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการโกหกครั้งนี้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร เช่น น้องๆ อาจสังเกตได้ว่าเพื่อนโกหกเราเพราะกลัวเราโกรธ กลัวเราไม่สบายใจ หรือไม่อยากให้เรามองเขาเป็นคนไม่ดี เมื่อเรารู้สาเหตุเราก็จะเข้าใจพวกเขามากขึ้นและอยากหาทางออกร่วมกัน

.

2. ใช้ “I Message (ข้อความแทนตัว)” ลดความรู้สึกถูกกล่าวหา

แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก แต่ถ้าน้องๆ อยากทำให้บรรยากาศการพูดคุยปลอดภัยมากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายกล้าพูดความจริง ให้ลองใช้ “I Message” หรือการสื่อสารความรู้สึกของตัวเองลงไป แทนการบอกว่าอีกฝ่ายโกหก วิธีนี้จะทำให้คนที่โกหกอยู่ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกกล่าวหา ถูกจับผิด และเป็นโอกาสในการเปิดเผยความจริง 

ตัวอย่างการใช้ “I Message” เช่น แทนการชี้ว่าเพื่อนโกหก เราอาจพูดว่า “เรารู้สึกไม่คุ้นกับเรื่องนี้เลย เราจำได้ว่า …”, “เราโอเคนะถ้าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้… เราอยากให้เธอบอกกับเราได้เลย” , “เราอาจเสียใจถ้า… แต่เราก็อยากจะรู้ความจริงมากกว่าเพราะมันทำให้เราเตรียมตัวได้”

.

3. ถามคําถามปลายเปิด เปิดโอกาสให้อธิบายความจริง

การจี้ถามซ้ำๆ ด้วยคำถามปลายปิด เช่น โกหกหรือไม่? จริงหรือไม่จริง? ใช่หรือไม่ใช่? จะยิ่งเป็นการปิดกั้นอีกฝ่ายให้ไม่มีทางเลือกในการสนทนาและตัดสินใจโกหกเพื่อให้สถานการณ์ผ่านพ้นไปไวๆ  

เมื่อเราต้องสื่อสารกับคนโกหก ลองใช้บทสนทนาหรือคำถามปลายเปิดเพื่อเพิ่มโอกาสให้เขาได้พูดความจริงกับเรา เช่น แทนที่เราจะสื่อสารว่า "เธอไม่ชอบงานของฉันใช่ไหม?" ลองเปลี่ยนเป็นถามว่า "เธอคิดว่าฉันจะปรับปรุงงานของตัวเองได้อย่างไร?"

.

4. รับฟังอย่างตั้งใจ

การรับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ได้แปลว่าให้เราเห็นด้วยหรือยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายโกหก แต่เป็นการให้ความสนใจกับผู้พูดโดยไม่ด่วนสรุป ตัดสินผิด-ถูก หรือขัดจังหวะ ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยที่จะพูด เพิ่มความรู้สึกไว้วางใจ และอาจทำให้กล้าที่จะค่อยๆ เล่าความจริง 

การรับฟังอย่างตั้งใจจะทำให้เราค่อยๆ รับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายขณะที่พูด เช่น เราอาจสังเกตว่าเพื่อนกังวลที่จะโกหกเรา เพื่อนกลัวที่จะโกหกเรา เมื่อเราจับความรู้สึกเหล่านี้ได้ เราก็จะพูดคุยกับพวกเขาได้อย่างเข้าใจ

.

5. เสนอความช่วยเหลือ

การโกหกหลายๆ ครั้งเกิดขึ้นเพราะผู้พูดเชื่อว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว หากน้องๆ เห็นว่าเราสามารถช่วยเหลือให้เพื่อนพูดความจริงได้ ให้เสนอความช่วยเหลือออกไป เช่น หากเพื่อนกำลังโกหกว่าไม่สบายเพราะทำงานส่งไม่ทัน เราอาจเสนอความช่วยเหลือที่จะทำให้เพื่อนไม่ต้องโกหก เช่น ช่วยทำงาน ช่วยสื่อสารกับครูเพื่อเลื่อนกำหนดส่ง ฯลฯ

ความช่วยเหลือยังหมายถึงการสนับสนุนทางใจด้วย เช่น ถ้าเพื่อนกลัวว่าการพูดความจริงแล้วจะทำให้ตัวเองรู้สึกเศร้า เราอาจช่วยยืนยันกับเพื่อนได้ว่าเราจะยังคงอยู่ข้างๆ ไม่ว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร 

.

การโกหกอาจทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในสายตาคนอื่น เพราะช่วยปิดบังข้อผิดพลาดที่เราเคยทำ แต่ไม่มีใครบนโลกนี้หรอกนะที่ไม่เคยทำผิดพลาด (ถ้าใครบอกว่ามี แปลว่าเขาโกหกแน่นอน!!) ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติของการเป็นมนุษย์ และคนที่รักเราจริงจะยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบที่เราเป็น เพียงแต่เราต้องเปิดใจและเปิดเผยออกมา ลดช่องว่างระหว่างกันและกัน ให้ความจริงใจต่อกัน เท่านี้ก็ถือเป็นก้าวแรกที่จะทำให้น้องๆ ได้รู้จักตัวเองและคนรอบตัวมากยิ่งขึ้น เปลี่ยน Every fools' day ให้เหลือแค่ April fools' day ก็พอนะ 🙂

.

อ้างอิง

https://psytherapy.co.uk/why-do-we-lie/

https://nurse.pccms.ac.th/?p=9359

https://www.verywellmind.com/is-it-ever-okay-to-lie-5118228

https://www.mentalhelp.net/blogs/dealing-with-liars/



avatar-ผู้เขียน
พัชรพร ศุภผล ผู้เขียน

ใช้แมวเป็นวิตามิน มีร้านหนังสือและแกลอรี่อาร์ตเป็นพื้นที่ปลอดภัย รักเจ้าชายน้อยและคิดว่าตัวเองก็คงมาจากดาวb612 เช่นกัน

avatar-นักออกแบบภาพ
พิมพ์พร นักออกแบบภาพ

ความฝันของช่วงวัยใกล้แตะ 30 คืออยากมีหมาคอกี้เป็นของตัวเอง

Tag :