ปัญหาสุขภาพจิตไม่ใช่เรื่องไกลตัว
ในยุคที่มีความท้าทายมากมายประดังเข้ามาต่อเนื่อง ใครหลายคนต้องเผชิญกับภาวะเครียด หวาดกลัว กังวล กดดัน เศร้า เป็นทุกข์ บางคนได้รับผลกระทบจนเสียสุขภาพจิต สูญเสียความมั่นใจและความเป็นตัวของตัวเอง กรณีที่มีภาวะอาการของโรค ก็จำเป็นต้องอยู่ในการดูแลและได้รับการรักษาที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ดี แล้วตัวเราเองล่ะ จะดูแลเพื่อน คนในครอบครัว หรือคนรอบตัวเราอย่างไรได้บ้าง เพื่อประคับประคองสนับสนุนกัน ให้ทั้งเขาและเรา สามารถผ่านช่วงเวลายากๆ นี้ ไปด้วยกัน
วันนี้ a-chieve มี Do's and Don'ts 8 ข้อควรทำและข้อควรหลีกเลี่ยง มาฝากกันค่ะ
✅สิ่งที่ควรทำ✅
1. ฟังอย่างตั้งใจ เพื่อเข้าใจเขาให้มากที่สุด
ใช้ทักษะการฟังเพื่อทำความเข้าใจสภาวะที่เขากำลังเผชิญ เลือกใช้คำถามปลายเปิดที่ชวนให้เขาบอกรายละเอียด ความรู้สึก สิ่งที่คิด เช่น “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” “เธอเจอเรื่องนี้มานานเท่าไรแล้ว” “ที่ผ่านมาเธอจัดการภาวะยากๆ นี้ อย่างไรเหรอ” และเมื่อเขาตอบกลับมา ขอให้เราช่วยยืนยันสิ่งที่เขาบอก ว่าสารหรือข้อความนั้นได้ส่งถึงเราและเรารับรู้ การที่มีใครซักคนรับรู้ความรู้สึกนี้เอง จะช่วยทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
แม้บางครั้งเราจะไม่เข้าใจเรื่องราวหรือไม่สามารถเชื่อมโยงเหตุผลตามที่เขาเล่าได้ แต่สิ่งที่เราจะทำได้คือ การจับอารมณ์ความรู้สึกว่าเขารู้สึกยังไงกับสถานการณ์นั้น แล้วตอบรับกลับด้วยใจจริง ว่า “ฟังจากสิ่งที่เธอบอกมา มันดูเป็นเรื่องยากลำบากจริงๆ นะ”
.
2. ถามสิ่งที่เขาอยากให้เราช่วย
เลือกใช้การถามแทนการรีบด่วนสรุปเอาเอง ลองถามเขาดูว่ามีอะไรที่เราสามารถช่วยหรือสนับสนุนเขาได้บ้าง และระลึกอยู่เสมอว่า เวลาที่กำลังเผชิญกับช่วงเวลายากลำบาก เราอาจมีความต้องการที่แตกต่างกัน บางคนอยากได้แค่คนรับฟัง บางคนต้องการพื้นที่เงียบๆ บางคนอยากได้คนช่วยชี้แนะแนวทาง ฯลฯ
.
3. เสนอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ
ลองระบุกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ภารกิจเล็กๆ ในบ้านหรือที่ทำงาน ที่เราอยากเสนอตัวเพื่อช่วยเขาทำ การช่วยนี้ไม่ใช่การแย่งงานเขามาทำเพราะไม่เชื่อใจ แต่เพราะเรารับรู้ว่าเขากำลังใช้แรงกายแรงใจในการค้นหาและดูแลใจตัวเองอยู่ ซึ่งอาจยังไม่พร้อมทำหรือตัดสินใจเองในช่วงเวลานี้ อย่าลืมรอให้เขาคิดและอนุญาตก่อนด้วยนะ!
.
4. ร่วมยินดีกับความสำเร็จของเขา
คนที่กำลังเผชิญกับภาวะยากๆ อาจเจอปัญหาความท้าทายมากมายในแต่ละวัน ดังนั้น หากเขาสามารถก้าวข้ามโจทย์อุปสรรคเรื่องใดก็ตาม ไม่ว่านั่นจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่หรือความสำเร็จเล็กๆ ก็ขอให้เราร่วมยินดีกับเขา เพื่อช่วยยืนยันการมีอยู่และช่วยยืนยันในความพยายามที่ดีของเขา
.
5. เพิ่มความรู้ให้ตัวเอง
หมั่นเติมความรู้ให้ตัวเองรู้จักและเข้าใจภาวะซึมเศร้าหรือโรคทางใจที่เขากำลังเผชิญอยู่ เพื่อให้เราเข้าใจคนที่กำลังต่อสู้กับภาวะยากๆ นี้ และมีแนวทางการดูแลสนับสนุนที่เหมาะสม
.
6. ถามไถ่ เช็กสภาพใจกันอย่างสม่ำเสมอ
จะเป็นส่งข้อความหา หรือโทรคุยสั้นๆ ก็ได้ เพื่อให้พวกเขารับรู้ว่ายังมีเราเป็นเพื่อนที่พร้อมสแตนบายอยู่ข้างๆ เสมอ
.
7. พร้อมยืดหยุ่น
คนแต่ละคนสามารถมีความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมที่แสดงออกต่างกัน และการจะกลับมาแข็งแรงได้เหมือนเดิมก็ไม่ได้มีหลักหรือวิธีการรักษาตายตัวเหมือนเวลาเราเป็นหวัด หรือกระดูกหัก ความยืดหยุ่นนี้จึงหมายถึงการเปิดกว้างกับพฤติกรรมหรืออาการที่หลากหลายของเขา และเปิดกว้างสำหรับแผนกิจกรรมหรือนัดหมายใดๆ ที่แม้เราจะตั้งใจอยากทำกิจกรรมร่วมกับเขามาก และมีการเตรียมการต่างๆ แล้ว ก็ขอให้ทุกแผนมีความยืดหยุ่นเสมอ เพราะเราไม่รู้ว่า ในช่วงเวลานั้นๆ เขาอาจไม่พร้อมจะทำตามที่ตกลงกันก็ได้
.
8. พูดคุยถึงอาการหรือโรคที่เขากำลังเผชิญให้เป็นเรื่องปกติ
การโฟกัสมากเกินไป อาจทำให้เขารู้สึกเคอะเขิน อึดอัด แปลกแยก และปิดกั้นตัวเองมากขึ้น ซึ่งความจริงแล้ว การพูดคุย ถามไถ่ แลกเปลี่ยนกัน แม้แต่การที่เราเป็นฝ่ายเริ่มเล่าก่อน ล้วนเป็นเรื่องปกติ เพราะเราก็ถือเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีโอกาสเจอภาวะความรู้สึกหนัก อ่อนไหว หรือเปราะบาง ที่ยังไม่สามารถจัดการได้ในทันที ได้เหมือนกัน
🚫สิ่งที่ควรเลี่ยง🚫
1. เปรียบเทียบกับคนอื่น
ประสบการณ์การต่อสู้กับสภาวะทางจิตใจของเราแต่ละคนจะแตกต่างกัน การเปรียบเทียบ หรือชักชวนให้มองโลกในแง่ดี จะยิ่งทำให้เขารู้สึกกดดันตัวเองหากยัง “ไม่รีบหายดีไวๆ” หรือ “คนอื่นเจอหนักกว่านี้ เขายังไม่เป็นไรเลย”
.
2. ใช้คำพูดตัดสิน แปะป้าย หรือกดทับ
มีสติในการใช้คำพูดเสมอ ไม่ควรใช้คำพูดที่มีนัยยะตัดสิน แปะป้าย หรือกดทับ อย่างคำว่า “บ้า” “โง่” หรือแม้แต่การไล่ให้ “ไปกินยาซะ” ขอให้ตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอว่าเรามีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคหรือภาวะทางอารมณ์-ทางใจ เช็กให้ชัวร์ว่าเรารู้แนวทางปฏิบัติเพื่อดูแลสุขภาพจิตอย่างถูกวิธีตามหลักของผู้เชี่ยวชาญ มิเช่นนั้น นอกจากเราจะไม่ได้ช่วยให้เขาดีขึ้นแล้ว เราอาจมีส่วนทำให้เขาอาการแย่ลงด้วย
.
3. เก็บคำพูดหรือพฤติกรรมเขามาคิดมากหรือโทษตัวเอง
คนที่มีภาวะยากลำบากหรือผู้ป่วยโรคทางใจ อาจแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อตัวเรา ทั้งแบบที่เราเตรียมการรับมือได้ กับแบบที่คาดไม่ถึง อย่าเผลอปล่อยให้ตัวเราจมกับความรู้สึกปวดใจหรือรู้สึกแย่กับการกระทำเหล่านั้น จนโทษตัวเองว่าเรายังดีไม่พอ ขอแนะนำให้เอาแรงที่จะคิดมากนี้ ไปเป็นพลังในการถาม มองหาโอกาสที่เราจะสามารถช่วยเหลือสนับสนุนเขาได้ และบอกเขาเสมอว่า ในวันที่เขาต้องการ เขาจะยังมีเราที่คอยอยู่ข้างๆ เสมอ
.
4. โต้เถียงหรือพยายามควบคุมสถานการณ์
การพยายามคัดค้าน สอนว่าอะไรควรไม่ควร ยื่นคำขาด หรือรวบอำนาจการตัดสินใจมาทำเอง อาจฟังดูเป็นการช่วยให้เขาไม่ต้องคิดหรือทำอะไรเอง แต่เปล่าเลย การกระทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่มีตัวตน ไม่เห็นคุณค่าความสำคัญของการมีอยู่ของตัวเอง
.
5. ถอดใจ
อย่าเผลอปล่อยให้ตัวเองมีชุดความคิดอย่าง “ดูแลกันมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นเขาจะดีขึ้นเลย” เพราะไม่จริงเลย! ข้อนี้ไม่ได้ให้มองโลกแง่ดีหรือโลกสวยอะไร เพราะความจริงแล้ว หน้าที่ของเราคือการสนับสนุนประคับประคองให้เขาสามารถกลับมาเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่เป็นตัวเขาเองจริงๆ เขาไม่ได้คาดหวังให้เราต้องมีมนต์วิเศษหรือยาแก้ที่กินแล้วหายดี สิ่งที่เขาต้องการคือการมีอยู่ของเราที่คอยรับฟังและอยู่กับเขาอย่างเข้าใจต่างหาก
.
6. ทุ่มเทจนหมดแรง
ดูแลคนอื่นแล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งเราดูแลตัวเองดีแค่ไหน เราก็จะสามารถดูแลเขาได้มากขึ้น ในที่นี้รวมถึงการดูแลกาย ใจ ความรู้สึกตัวเอง ชาร์จแบตเตอรี่ชีวิตให้ตัวเองไปพร้อมกับอยู่เคียงข้างเขา ชัดเจนกับตัวเองว่าจุดไหนคือจุดที่เราจะไม่ไหว และหาทางจัดลำดับความสำคัญเพื่อให้ทั้งเราและเขายังสามารถประคับประคองกันไปต่อได้
.
7. บอกทางออก รีบเสนอทางแก้
การบอกวิธีแก้ปัญหาให้ทั้งที่เขาไม่ได้ร้องขอ เปรียบเสมือนการบอกเขาทางอ้อมว่า สิ่งที่เขาทำอยู่มันผิด มันไม่ถูกต้อง ซึ่งความจริงแล้ว แม้เราจะหวังดี แต่การกระทำเช่นนี้ อาจมีสาเหตุจากตัวเราเองที่ทนไม่ได้กับภาวะยากๆ ที่เขากำลังเผชิญอยู่ ซึ่งข้อนี้จะนำไปสู่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงข้อที่ 8 นั่นคือ
8. ละเลยหรือมองข้ามความรู้สึกของตัวเอง
ขณะที่เรากำลังดูแลเขา เราอาจเผลอให้ตัวเองรับรู้ความรู้สึกในช่วงเวลาเปราะบางนั้นและเก็บกลับมาเข้าตัวเราด้วย เรื่องนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากตรงที่ไม่ควรละเลยหรือมองข้ามสภาวะทางอารมณ์ความคิดที่เกิดขึ้นของตัวเราเอง แต่ควรใช้เวลาเพื่อทบทวน ตกผลึก เพื่อสะท้อนออกมา
มีตัวอย่างคำถามที่เราสามารถถามทบทวนตัวเองมาฝากค่ะ
📍ความเครียดของเรานี้เป็นเพราะเรากลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับคนที่เรารักหรือเปล่า
📍เราเลือกจะเลี่ยงไม่เผชิญหน้ากับเขา เพราะรู้สึกว่าตัวเองช่วยอะไรไม่ได้หรือเปล่า
📍เรามีอคติหรือประสบการณ์ที่ไม่ดีที่ฝังใจเกี่ยวกับอาการป่วยทางสุขภาพจิตหรือเปล่า
📍ในจุดที่เราบอกว่าเราไม่ไหวแล้ว เป็นเพราะเราคับแค้นใจที่เรื่องราวไม่เป็นดั่งใจ หมดพลัง หรือแค่สับสนกังวลทั่วไป
.
.
เหตุผลสำคัญที่เราจำเป็นต้องเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกและความคิดตัวเอง คือ เพื่อให้เราสามารถดูแลตัวเองและอยู่ข้างๆ เพื่อดูแลคนที่เรารักได้ ดังนั้น ไม่ต้องรู้สึกกังวลหรือเขินอาย เมื่อถึงเวลาร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นหรือผู้เชี่ยวชาญนะ 🙂
.
อ้างอิง: https://bit.ly/3CefxCw