เกลียดวันจันทร์ เบื่อวันอังคาร
5 สัญญาณที่บอกว่าเราเป็นซึมเศร้าไม่ใช่แค่ขี้เกียจ
.
เคยรู้สึกอยากนอนอยู่บนเตียงทั้งวันไม่ทำอะไรไหม?
ทั้งที่มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย กิจกรรมที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำ สุดท้ายก็ทำได้แต่นอนไถมือถือไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีวันหยุดก็หมดไป แถมความรู้สึกผิดที่ใช้วันหยุดโดยที่ไม่ทำอะไรก็มาเยือนอีก
.
.
ใครที่กำลังเผชิญสถานการณ์เหล่านี้อยู่ อย่าเพิ่งชี้นิ้วบอกตัวเองว่า “เธอมันขี้เกียจ!”
เพราะจริงๆ แล้วความรู้สึกอยากอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร อาจเป็นสิ่งที่ร่างกายกำลังบอกว่า เรากำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้าอยู่ ก็ได้ วันนี้พี่ a-chieve จึงอยากชวนทุกคนที่อาจกำลังไถมือถือระหว่างพัก หรือนอนอยู่บนเตียงในตอนนี้ มาสำรวจตัวเองไปพร้อมๆ กัน กับ 5 สัญญาณที่บอกว่า เรากำลังซึมเศร้า ไม่ใช่ขี้เกียจ
จะมีอะไรบ้างเราตามไปดูกันเลย
.
.
**ทั้ง 5 ข้อนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นในการสำรวจตัวเอง ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยทางการแพทย์ หากมีแนวโน้มว่าตัวเองเป็นซึมเศร้า แนะนำให้พบจิตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ
1. ฉันไม่สามารถดึงตัวเองออกจากความขี้เกียจได้เลย
เป็นปกติที่เราจะรู้สึกขี้เกียจในบางวัน แต่สุดท้ายแล้วเรายังมีแรงฮึบขึ้นมาจัดการสะสางชีวิตได้ (แล้วค่อยกลับไปรู้สึกขี้เกียจต่อ) ใครอีกหลายคนก็เคยตั้งใจจะพยายามวางแผนลงมือทำตาม To do list แต่ก็อาจทำได้บ้างไม่ได้บ้าง
📍 แต่ ภาวะซึมเศร้านั้นต่างออกไป มันเหมือนหลุมใหญ่ที่ดึงเราไว้ให้อยู่กับที่ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะดึงตัวเองออกมาจากความขี้เกียจ หรือคิดจะทำอะไร เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้สึกว่าเราหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะคิดวางแผนเพื่อดึงตัวเองออกจากความขี้เกียจ หรือไม่แม้แต่คิดจะลงมือทำ เราอาจเจอกับภาวะซึมเศร้าอยู่ก็ได้
2. ฉันไม่สามารถให้กำลังใจตัวเองได้
เวลาที่เรารู้สึกขี้เกียจ หมดไฟ หรือท้อแท้สิ้นหวังกับเรื่องต่างๆ บ่อยครั้งที่ถ้อยคำดีๆ คำพูดสร้างกำลังใจจากคนใกล้ชิดหรือคนอื่นๆ ก็อาจปลุกพลังในตัวเราให้ลุกขึ้นมาทำสิ่งต่างๆ ได้อีกครั้ง
📍 ต่างกับภาวะซึมเศร้าที่เราหมดแรง หมดใจจะให้กำลังใจตัวเอง และคำพูดดีๆ ของผู้คนรอบตัวก็ไม่สามารถช่วยให้เรารู้สึกมีกำลังใจมากพอที่จะลงมือทำอะไร
3. ฉันหมดความสนใจในทุกสิ่ง
เวลาที่เรารู้สึกขี้เกียจจากการเรียน ทำงาน หรือทำอะไรก็ตาม เรามักจะหันไปทำกิจกรรมอื่นที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เช่น ไปเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ออกไปเที่ยวข้างนอก หรือหลับสักงีบ เป็นการชาร์จพลังให้ตัวเอง
📍 แต่ถ้าเรามีภาวะซึมเศร้า เราจะไม่อยากทำอะไรเลย โดยเฉพาะกิจกรรมที่เราเคยชอบทำ ก็อาจกลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ ไม่มีความสุขที่จะทำเหมือนเมื่อก่อน
4. ฉันรู้สึกว่า ความขี้เกียจ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
ความขี้เกียจอาจส่งผลให้น้องๆ วัยเรียนมีการบ้านกองโตจนต้องโหมทำงานกลางดึก หรือรีบทำส่งๆ จนงานออกมาไม่ดีนัก ถือเป็นเป็นผลกระทบเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเราไม่ได้ทำงานตามแผนที่วางไว้
📍 ถ้าเมื่อไรที่ผลกระทบจากการไม่อยากทำอะไรเลย เริ่มส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเรามากเกินไป เช่น ทำให้เราขาดเรียนหรือขาดการส่งงานมากเกินไป จนอาจได้เกรดที่ไม่ดี ไม่อยากลุกไปทำอะไร ปล่อยให้ร่างกายหิว เสียสุขภาพ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าเราตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า ไม่ใช่ความขี้เกียจทั่วไป
5. ฉันหาที่มาของความรู้สึกขี้เกียจไม่ได้
เราอาจรู้สึกขี้เกียจหลังจากเรียนหรือทำงานหนักติดต่อกันหลายวัน วันที่ต้องเผชิญกับงานยากๆ เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือวันที่ฝนตก อากาศเป็นใจให้อยากนอนต่อยาวๆ
📍 ถ้าความขี้เกียจนั้นหาที่มาไม่ได้ อยู่ดีๆ ก็รู้สึกหดหู่ หมดแรง สิ้นหวังจะทำอะไร ก็อาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณสำคัญว่าเรากำลังเจอภาวะซึมเศร้า
และแม้ว่าเราจะระบุได้ว่าเรารู้สึกขี้เกียจเพราะอะไร เช่น ฉันรู้สึกขี้เกียจเพราะเพิ่งผ่านช่วงหยุดยาวมาหลายสัปดาห์ ก็อาจไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นความขี้เกียจทั่วไปนะ ต้องลองสังเกตเพิ่มเติมว่า ตัวเองสามารถสลัดความขี้เกียจออกไปได้ไหม เมื่อเวลาผ่านมาสักพักแล้ว (คุ้นๆ ใช่ไหมล่ะ มันคือข้อ 1 ไง) ถ้าหากจมกับความรู้สึกไม่อยากทำอะไรนานๆ ก็เป็นได้ว่าเรากำลังมีแนวโน้มภาวะซึมเศร้า
.
.
ไม่มีนกตัวไหนบินโดยไม่หยุดพักเหนื่อย (ขนาดเพนกวินยังมีเวลานอนเลย)
ความขี้เกียจจึงเป็นภาวะปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับเราทุกคน ในโลกที่ทุกคนแข่งขันกันประสบความสำเร็จ ความขี้เกียจอาจเป็นเพื่อนที่ดีที่กระซิบบอกเราว่า “ช่วงนี้เธอเหนื่อยมากแล้วนะ ต้องพักสักหน่อย” ดังนั้น อนุญาตให้ตัวเองได้ขี้เกียจอย่างมีเป้าหมายบ้าง แล้วค่อยลุกขึ้นมาทำตามแผนต่อเมื่อร่างกายและจิตใจพร้อม
.
สำหรับใครที่รู้สึกว่าความขี้เกียจกำลังพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้า ก็ขอให้ไม่ต้องกังวลหรือตกใจ ลองมองหาคนที่ไว้ใจเพื่อขอความช่วยเหลือ แม้จะยังไม่สามารถให้กำลังใจตัวเองเพื่อหลุดออกจากหลุมดำที่ดูดเรี่ยวแรงเราไปได้ แต่แค่รับรู้ว่า “ฉันต้องการใครสักคนมาช่วยดึงฉันออกไป” ก็เก่งมากๆ แล้วล่ะ