ความฝันเป็นของเรา แต่ค่าเทอมเป็นของที่บ้าน คุยกับพ่อแม่ยังไง ในวันที่ใจไม่ตรงกัน

วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2566 เวลา 06:11 • ใช้เวลาอ่าน 2 นาที
ปก_1920x960 (1).JPG

 

“อยากจะเป็นแค่ไอ้หมอนั่นในใจเธอออ แต่พ่อแม่บอกให้ไปเป็นหมอฟัน” มันเศร้าใจ… เราจะสื่อสารกับพ่อแม่ หรือผู้ปกครองยังไงดีนะ ถ้าสายการเรียนที่เราเลือกไม่ตรงกับความต้องการของพวกเขา

.

“อยากให้มาสืบทอดกิจการต่อที่บ้าน” “อยากให้เป็นหมอจะได้รักษาพ่อแม่” “เรียนอันนี้ไปจะหางานทำได้เหรอ ทำไมไม่เรียน…” แนวทางที่พ่อแม่บอกมาและอีกหลายเงื่อนไข ชวนให้เราลังเลใจว่าจะไปตามความฝันของตัวเอง หรือเดินตามเส้นทางที่ผู้ใหญ่กำหนดไว้ดีกว่านะ

.

เราเข้าใจดีว่า การเผชิญหน้าพูดคุยกับคนในครอบครัว อาจทำให้น้องๆ รู้สึกกังวล ไม่สบายใจ และอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่สร้างความตึงเครียดได้หากขาดความเข้าใจกัน เราจึงอยากชวนน้องๆ ทุกคนมาตั้งหลักก่อน Say ไม่ให้ใจ “เซ” ด้วยแนวทางการพูดคุยอย่างเข้าอกเข้าใจ ที่น้องๆ สามารถนำไปปรับใช้ตามสถานการณ์ของตัวเองได้ จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลย!

 

1_square (2).JPG

1. หาเวลาและสถานที่ที่ใช่ 

ก่อนจะพูดคุย เริ่มจากสังเกตว่าช่วงเวลานั้นทั้งตัวเราและครอบครัวมีความพร้อมที่จะพูดคุยกันแล้วหรือยังนะ มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังยุ่งกับการทำอะไรบางอย่างอยู่หรือเปล่า รวมถึงสถานที่คุย ก็ควรเป็นพื้นที่ที่เราและครอบครัว รู้สึกสบายใจ เงียบสงบและเป็นส่วนตัว 


 

Tips บอกความรู้สึกและจุดประสงค์ของเราในการขอเวลาพูดคุยกับพ่อแม่ เพื่อให้ทุกฝ่ายมีเวลาเตรียมตัวก่อนเช่น เราอาจบอกว่า…

- “หนูรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกสายการเรียนครั้งนี้ พอจะมีเวลาว่างที่เราจะพูดคุยกันได้ไหมคะ” 
- “ผมอยากได้คําแนะนําจากพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องการเรียน เราคุยกันได้ไหมครับ?"

- “ช่วงนี้รู้สึกเครียดมากเลย ผมคุยกับพ่อแม่เรื่องนี้ได้ไหมครับ”

2_square (2).JPG

2. เล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เราเลือก

อธิบายให้ครอบครัวรู้ว่า สายการเรียน/ คณะ ที่เราตัดสินใจเลือกคืออะไร เรียนเกี่ยวกับอะไร ต่อยอดไปสู่อะไรในอนาคตของเราได้บ้าง นำเสนอเหตุผลว่าทำไมเราถึงเลือกสิ่งนี้ เราอาจบอกถึงความรู้สึกว่า เรามีความสุขเมื่อได้ทำสิ่งนี้ ก็ได้ ขั้นตอนนี้ยังรวมถึงการให้ข้อมูลด้านอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น ที่ตั้งของสถาบันที่สอน ระยะเวลาเรียน ค่าใช้จ่าย ฯลฯ


 

Tips ยิ่งมีข้อมูลและแผนอนาคตที่ชัดเจนมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงให้เห็นความตั้งใจและความละเอียดรอบคอบในการหาข้อมูลของเรา แต่ไม่ต้องกดดันตัวเองไปหากเรายังไม่มีข้อมูลครบถ้วน หรือกลัวว่าจะไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ได้ เพราะ #การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องผิดพลาด สิ่งที่เราเคยชอบในวันนี้ อาจเป็นสิ่งที่เราไม่อยากทำในวันพรุ่งนี้ก็ได้ ฟังเสียงหัวใจของตัวเอง แล้วลองสื่อสารออกไปนะ

3_square (2).JPG

3. เปิดใจฟังความเห็นของครอบครัว 

ถึงแม้จะเป็นการตัดสินใจของเรา แต่ก็ต้องเปิดใจและให้พื้นที่กับครอบครัวในการอธิบายเหตุผลของพวกเขาด้วยนะ ว่าพวกเขาคิดเห็นหรือรู้สึกกับสิ่งที่เราเลือกอย่างไร หากพ่อแม่บอกว่า “ทำไมไม่เรียนวิชาอื่นล่ะ” ให้ถามถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องการให้เราเรียนสิ่งๆ นั้น ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจมุมมองของพ่อแม่มากยิ่งขึ้น 


 

Tips สิ่งสำคัญของการฟังไม่ใช่แค่การที่เราได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา แต่เป็นการฟังให้ได้ยินความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น แม้อีกฝ่ายจะไม่พูดออกมาตรงๆ ก็ตาม อย่าเพิ่งด่วนตัดสินหรือสรุปสิ่งที่ได้ยินเร็วเกินไป เช่น เมื่อพ่อแม่บอกเราว่า “อยากให้รับราชการ จะได้ทำงานมั่นคง” เราจะเห็นว่า จริงๆ แล้วพ่อแม่รู้สึก “เป็นห่วง” อนาคตของเรา คาดหวังให้เรามีชีวิตที่ดี ไม่ใช่เพราะต้องการบังคับหรือตามใจ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่เราจะไปคิดต่อว่าเราจะจัดการความคาดหวังนี้อย่างไรดี หากแนวทางของพ่อแม่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ

4_square (1).JPG

4. อธิบายเหตุผลของเรา

เป็นขั้นตอนต่อจากที่เราได้รับฟังมุมมองและความเห็นของครอบครัวต่อสิ่งที่เราเลือก เมื่อเรารับรู้ว่าความกังวลหรือคาดหวังของพ่อแม่นั้นคืออะไร เราก็สามารถอธิบายเหตุผลโต้แย้ง (แบบสันตินะจ๊ะ) สื่อสารมุมมองของเราได้ว่า เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่พ่อแม่เลือกให้ ความถนัดของเราเป็นอย่างไร ในสายการเรียนหรือคณะที่เราเลือกจะคลายความกังวลให้พ่อแม่ได้อย่างไร 


 

Tips ทวนซ้ำสิ่งที่พ่อแม่บอกเรา เพื่อให้พวกเขามั่นใจว่าเราได้รับฟังอย่างตั้งใจ รวมถึงบอกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นหากเราเลือกตามความต้องการของครอบครัว เช่น “หนูเข้าใจว่า เพราะพ่อแม่รักและเป็นห่วงอนาคตของหนู เลยอยากให้หนูเรียน … จะได้มีอาชีพที่มั่นคง แต่จากความพยายามตลอดปีที่ผ่านมา หนูพบว่าตัวเองไม่ถนัดในสิ่งนี้ ซึ่งอาจทำให้หนูไม่มีความสุขหรือทำผลการเรียนออกมาได้ไม่ดี แต่ถ้าหนูได้เรียนสิ่งที่ตัวเองเลือก หนูจะได้ทำงานที่หนูถนัด และวางแผนชีวิตได้ดีขึ้นแน่นอนค่ะ”

5_square (1).JPG

5. มองหาจุดกึ่งกลางของกันและกัน 

เมื่อเรารับฟังเหตุผลจากครอบครัวแล้ว ลองคิดดูว่าเราจะหากึ่งกลางระหว่างความต้องการของพ่อแม่และตัวเราเองยังไงได้บ้าง ทั้งนี้ ขอให้เป็นการพบกันครึ่งทางที่ไม่อึดอัดใจทั้งสองฝ่าย มีความสบายใจของเราและครอบครัวเป็นที่ตั้งนะ เช่น 

- หากพ่อแม่อยากให้เราเรียนใกล้บ้าน แต่เราอยากเรียนต่างจังหวัด ลองเสนอแผนว่าเราจะโทรหาพวกเขาสี่วันต่อสัปดาห์ หรือ กลับมาเยี่ยมบ้านทุกอาทิตย์ 

- หากพ่อแม่อยากให้เราเรียนภาษา แต่เรามีวิชาอื่นในใจ ก็อาจเสนอว่าเราจะลงเรียนภาษาเป็นวิชาเสริม หรือวิชาเลือก 


 

Tips ลองใช้คำพูดที่สะท้อนความรู้สึกของตัวเองอย่างใจเย็นและสุภาพ ตามด้วยข้อเสนอที่น่าเชื่อถือเพื่อยืนยันว่าเราจะทำตามสิ่งตกลงกัน เช่น “หนูดีใจมากที่พ่อแม่ให้หนูเลือกเรียนสายศิลป์ หนูสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนและทำเกรดให้ดี”

6_square.JPG

6. ให้เวลากันอีกนิด

เราอาจชินกับการถามมา-ตอบไปในทันที แต่ใจเย็นๆ ก่อนนะ ใช่ว่าทุกบทสนทนาจะมีคำตอบในทันทีทันใด และคำตอบที่มาช้าก็อาจเป็นคำตอบที่ดีก็ได้ เพราะฉะนั้นหากเราพูดคุยไปแล้ว แต่ยังไม่มีการสรุปในตอนนั้นว่าครอบครัวเห็นด้วยกับเราหรือไม่ พ่อแม่อาจขอเวลาไปคิดเพิ่มเติม ก็ไม่เป็นไร ให้เวลาและพื้นที่กันอีกนิด แล้วค่อยกลับมาสื่อสารกันใหม่เมื่อพร้อม


 

Tips ไม่เพียงแต่การรอคำตอบจากอีกฝ่ายเท่านั้น หากตอนนั้นเรารู้สึกว่าไม่พร้อมที่จะพูดคุยต่อไป หรือมีบางคำถามจากพ่อแม่ที่เราต้องการเวลาคิดและตัดสินใจเพิ่ม เราก็สามารถขอเวลาไปคิดทบทวนได้เช่นกัน โดยอาจพูดว่า “ขอบคุณที่มาคุยกันในวันนี้นะคะ ส่วนคำถามว่าเรียนแล้วจะไม่ตกงานเหรอ หนูขอเวลาไปหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนได้ไหมคะ”

 

 

เป็นเรื่องปกติที่เราจะกังวลและประหม่าเมื่อต้องเปิดใจคุยกับครอบครัว เราอาจกลัวพวกเขาผิดหวัง หรือตัดสินเราในแง่ลบ (อย่าง “ที่เลือกเรียนอันนี้ เพราะรักสบายล่ะสิ” TT) ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดใจแน่ๆ แต่มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกแบบนั้น เมื่อผู้พูดเป็นคนที่เรารักและแคร์


 

ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า #เราสามารถพบเจอความผิดหวังได้ และถ้าผลลัพธ์การพูดคุยในครั้งนี้ไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวังไว้ก็ไม่เป็นไร เรามีโอกาสเริ่มต้นใหม่เสมอ ยังมีประตูบานใหม่ บานอื่นๆ ที่เราสามารถนำสิ่งที่ชอบไปใช้และประสบความสำเร็จได้นอกเหนือจากการเรียนต่อในระบบการศึกษา โปรดเดินตามเสียงหัวใจไป และรับรู้ว่าเสียงของเรานั้นสำคัญไม่น้อยกว่าเสียงของใคร ขอแค่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มองหาโอกาส ไม่ลืมที่จะลงมือทำ รับผิดชอบต่อครอบครัวและความฝันของตัวเอง ขอให้ทุกคนโชคดีในการตัดสินใจค่ะ 🙂

 

 

อ้างอิง

https://kidshealth.org/en/teens/talk-to-parents.html 

https://cape.umn.edu/planning/international/talk-to-family

 

 


 

 


avatar-ผู้เขียน
พัชรพร ศุภผล ผู้เขียน

ใช้แมวเป็นวิตามิน มีร้านหนังสือและแกลอรี่อาร์ตเป็นพื้นที่ปลอดภัย รักเจ้าชายน้อยและคิดว่าตัวเองก็คงมาจากดาวb612 เช่นกัน

avatar-นักออกแบบภาพ
สาธิดา ราหุละ นักออกแบบภาพ

ทาสแมวที่วาดรูปได้นิดหน่อย รื่นรมย์กับคราฟต์เบียร์ การเดินทาง และศิลปะ

Tag :