อยากคุยกับจิตแพทย์ แต่ไม่รู้จะเริ่มเล่าอะไรดี?
น้องๆ หลายคนอาจมีแผนอยากพูดคุยกับจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัด แต่ยังกังวล สงสัย ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสื่อสารกับคุณหมอหรือนักบำบัดยังไงดี แค่เดินเข้าไปหาแล้วบอกว่าเรารู้สึกอยากร้องไห้พอไหมนะ?
.
น้องๆ คงได้เห็นภาพการบำบัดระหว่างจิตแพทย์กับผู้ป่วยจากสื่อต่างๆ มาบ้าง ภาพยนตร์หลายเรื่องนำเสนอภาพคนสองคนที่เผชิญหน้ากันในห้อง เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้จิตแพทย์ที่คอยรับฟังและถือปากกาจดยุกยิกบนกระดาษอย่างตั้งใจ ดูเหมือนมีบทสนทนามากมายเกิดขึ้นระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง
#ไม่แปลกเลยที่เราจะเกิดความรู้สึกกลัว/ไม่มั่นใจ/สับสนมึนงง
เราอาจไม่รู้จะสื่อสารอย่างไรดี เมื่อต้องพูดคุยกับจิตแพทย์หรือนักบำบัดเป็นครั้งแรก การเล่าความรู้สึกของตัวเองให้กับคนที่เพิ่งเคยรู้จักกัน เป็นธรรมดาที่เราจะเกิดความกังวลและประหม่าได้
.
จริงๆ แล้วเราต่างถูกสร้างมาให้โอบอุ้ม ดูแลกันและกัน ไม่มีใครสมควรเศร้าอย่างเดียวดาย การพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของตัวเองและการมองหาความช่วยเหลือ เป็นเรื่องกล้าหาญที่ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ a-chieve เลยอยากชวนน้องๆ มาตั้งหลักไปด้วยกัน ด้วยลิสต์หัวข้อที่เราสามารถเตรียมไว้เพื่อพูดคุยกับจิตแพทย์หรือนักบำบัดได้
จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!

1. เพราะอะไรเราถึงอยากพบจิตแพทย์/ นักบำบัดในวันนี้
นึกถึงเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจพบจิตแพทย์หรือนักบำบัด มีความรู้สึกใดหรือเหตุการณ์ใดที่กระตุ้นให้เราต้องการพูดคุยในครั้งนี้ สิ่งนี้จะช่วยให้เราตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในตอนนี้ และทำให้จิตแพทย์และนักบำบัดได้รับรู้สถานการณ์ของเราเช่นกัน เช่น เรามาหาจิตแพทย์เพราะนอนหลับมากเกินไป ไม่อยากตื่นไปโรงเรียนเลย
***หมายเหตุ: ไม่เป็นไรเลยถ้าเราไม่ได้มาพบแพทย์ด้วยตัวเอง แต่มาเพราะเพื่อนหรือครูบอกให้มา เราสามารถบอกอย่างตรงไปตรงมากับแพทย์หรือนักบำบัดได้เช่นกันนะ
.
2. เคยทำแบบทดสอบด้านจิตวิทยาหรือพบจิตแพทย์มาก่อนหรือไม่
ไม่จำเป็นจะต้องมีประสบการณ์การพูดคุยกับจิตแพทย์หรือทำแบบสำรวจมาก่อน และไม่ใช่เรื่องประหลาดที่เราจะไม่ได้ทันสังเกตตัวเองก่อนหน้านี้ เราสามารถสื่อสารกับจิตแพทย์หรือนักบำบัดได้ตามความเป็นจริงว่านี่เป็นครั้งแรกของเรา มีอะไรที่เรากังวลใจในการขอคำปรึกษาครั้งนี้หรือไม่
สำหรับคนที่ไม่เคยพบจิตแพทย์มาก่อน แต่เคยทำแบบสำรวจเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองมาบ้าง เช่น แบบทดสอบภาวะซึมเศร้า แบบวัดระดับความเครียด ก็สามารถเล่าถึงประสบการณ์จากการทำแบบสำรวจเหล่านี้ได้
บางคนอาจมีประสบการณ์พบจิตแพทย์และนักบำบัดมาก่อนแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นการพบแพทย์คนใหม่ ลองทบทวนดูว่ายังจำประสบการณ์ครั้งนั้นได้ไหม มีอะไรที่เราไม่ชอบ หรือไม่สบายใจในการพูดคุยครั้งนั้น เราสามารถหยิบมาพูดคุยในการพบแพทย์ครั้งนี้ได้เช่นกัน เพื่อให้เรารู้สึกสบายใจมากที่สุด
***หมายเหตุ: ชวนมองย้อนกลับไปในครอบครัวว่า หากมีคนในครอบครัวที่มีประวัติรักษาด้านสุขภาพจิต ก็สามารถแจ้งให้จิตแพทย์ของเรารู้ได้เช่นกัน
.
3. เรารู้สึกอย่างไรบ้างกับการพูดคุยในครั้งนี้
การพูดคุยครั้งแรกกับคนที่ไม่รู้จักอาจสร้างความรู้สึกมากมายในจิตใจของเรา เราสามารถสื่อสารกับจิตแพทย์หรือนักบำบัดได้ว่า ตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร กลัวหรือกังวลอะไรบ้าง เราคาดหวังอะไรจากการพูดคุยครั้งนี้ และหากมีคำถามเกี่ยวกับการบำบัด เช่น ค่าใช้จ่าย ระยะเวลา แนวทางการรักษา ก็สามารถถามได้ จิตแพทย์พร้อมตอบเราทุกคำถามแน่นอนและยังเป็นการวางแผนการพูดคุยและดูแลรักษาที่ดีอีกด้วย
.

4. ชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างไร
เล่าเกี่ยวกับชีวิตประจำวันทั่วไปของเรา เช่น การนอนหลับเป็นอย่างไรบ้าง หลับสนิทดีไหมหรือสะดุ้งตื่นกลางดึก เราฝันเกี่ยวกับอะไรบ่อยๆ เรากินได้มากขึ้นหรือน้อยลงจากเดิม กิจกรรมที่เราทำเมื่ออยู่บ้านคืออะไร เป็นต้น
.
5. ความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบตัวเป็นอย่างไรบ้าง
เราสนิทกับใครในครอบครัวเป็นพิเศษ ใครที่เรารู้สึกสบายใจ ขอคำปรึกษาบ่อยๆ หรือเรารู้สึกอย่างไรกับครอบครัวตัวเอง รวมถึงเรื่องราวความเป็นมาของเรา เช่น ช่วงเวลาวัยเด็กของเราเป็นอย่างไรบ้าง มีช่วงวัยเด็กที่น่าจดจำหรือทำให้เรารู้สึกแย่ไหม
เราสามารถเล่าเรื่องเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องกลัวการตัดสิน อาจเล่าถึงความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ ด้วย เช่น เพื่อนร่วมชั้น คุณครู หรือใครก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกอยากพบจิตแพทย์ เกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์นั้น และเรารู้สึกอย่างไร นอกจากนี้เรายังสามารถเล่าถึงความรู้สึกของตัวเองเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนทั้งที่รู้จักหรือไม่รู้จักได้อีกด้วย เช่น ความรู้สึกเหงาเมื่ออยู่ท่ามกลางคนอื่น รู้สึกแปลกแยก รู้สึกกลัวเมื่อต้องเข้าสังคมใหม่ ทำความรู้จักคนใหม่ๆ เป็นต้น
.
6. เล่าเกี่ยวกับการเรียน/ภาระหน้าที่/การเงิน ที่เรากำลังเผชิญ
สถานการณ์ในโรงเรียนเป็นอย่างไร มีอะไรที่เราเครียดหรือกังวลไหม เรารู้สึกยังไงกับความฝันและอนาคตของตัวเอง หน้าที่อื่นๆ ที่เรารับผิดชอบ เช่น การทำงานเสริม หรือการช่วยเหลือครอบครัวในบางเรื่อง มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อย เครียดหรือไม่สบายใจ เรื่องเงินก็เป็นอีกสิ่งที่เราสามารถเล่าได้หากรู้สึกว่าสิ่งนั้นสร้างความกังวลใจให้เรา เช่น เครียดที่คนในครอบครัวตกงาน เป็นต้น
.

7. ความรู้สึกหรือความทรงจำที่ติดอยู่ในใจของเรา
ความทรงจำที่เราไม่อยากนึกถึง การสูญเสียคนที่รัก การถูกทำร้าย ละเมิด ใช้ความรุนแรง ทั้งในอดีตหรือทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่ติดอยู่ในใจของเราจนทำให้เรานึกถึงบ่อยๆ เราอาจเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตที่มีผลกับความรู้สึกเรา เช่น ย้ายโรงเรียน ย้ายบ้าน ให้ฟังก็ได้ หรือเราเล่าจากความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจของเราก็ได้เช่นกัน เช่น ฉันรู้สึกเศร้า รู้สึกกลัว รู้สึกเหงา
ไม่เป็นไรเลยหากเราจะรู้สึกเศร้าหรือร้องไห้เมื่อกล่องความทรงจำนั้นถูกเปิด เราสามารถรู้สึกถึงมันได้ไม่ว่าเรื่องราวนั้นจะผ่านมานานแค่ไหน และเราสามารถสื่อสารผ่านการเขียน วาดรูปหรือระบายสีในสิ่งที่เราไม่อยากจะพูดออกมาก็ได้ เพื่อสร้าง #ความรู้สึกปลอดภัยในใจของเรา และถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกไม่ไหว อยากขอหยุดพักการพูดคุยครั้งนี้ ก็สามารถแจ้งจิตแพทย์หรือนักจิตของเราได้เช่นกัน
.
8. สิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกหรือทริกเกอร์พ้อย (Trigger Point)
มีสิ่งใดที่กระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกนั้นๆ และไม่สามารถควบคุมการแสดงออกของเราที่เกิดขึ้นอย่างปุปปับ เช่น ร้องไห้ มือสั่น เกร็ง หวาดกลัว สิ่งนั้นจะเป็นสถานการณ์หรืออาจอยู่ในรูปแบบของสิ่งของ เสียงบางเสียง คำพูดบางคำ สีสันหรือกลิ่นก็ได้ เช่น บางคนอาจรู้สึกกลัวอย่างมากเมื่อเห็นทะเลเพราะเคยจมน้ำมาก่อน ลองสังเกตปฏิกิริยาของตัวเองที่มีต่อสิ่งต่างๆ หรือสำรวจดูว่าอะไรที่เราไม่อยากนึกถึง ไม่อยากพูดถึง เพราะอาจเป็นสิ่งที่เรากำลังหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ความรู้สึกนั้นกลับมาก็ได้
.
.
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงคำแนะนำส่วนหนึ่งที่น้องๆ สามารถนำไปเป็นแนวทางในการพูดคุยของตัวเอง เราสามารถปรับเปลี่ยนหัวข้อตามสถานการณ์ของตัวเองได้ หากช่วงแรกของการสนทนายังไม่รู้ว่าจะละลายน้ำแข็งแห่งความเงียบงันลงยังไงดี ก็อาจเริ่มจากการถามจิตแพทย์หรือนักบำบัดของเราว่า #เราควรเริ่มต้นอย่างไรดี เพื่อให้จิตแพทย์หรือนักบำบัดเป็นคนนำเราสำรวจเรื่องราวของตัวเองก็ได้
.
การพบจิตแพทย์หรือนักบำบัด #ไม่ได้แปะป้ายว่าเราเป็นคนป่วยหรือมีปัญหาทางจิต เพราะเราต่างมีช่วงเวลาที่ลำบากของชีวิตแตกต่างกัน สำหรับบางคนอาจเป็นช่วงสอบที่ทำให้เครียดมากจนนอนไม่หลับ บางคนอาจเป็นช่วงเวลาที่เพิ่งสูญเสียคนรัก ไม่สำคัญว่าเราเศร้ามากพอที่จะขอพบหมอได้หรือยัง สิ่งสำคัญคือ #เราทุกคนคู่ควรที่จะได้รับการดูแล เยียวยาใจ ในพื้นที่ปลอดภัยเพื่อให้เราก้าวผ่านช่วงเวลายากๆ นี้ได้เสมอ
อ้างอิง
https://www.choosingtherapy.com/what-to-talk-about-in-therapy/
https://weareneveralone.co/blog/what-to-talk-about-in-therapy/