ไม่หลับก็มึน ไม่มึนก็ท้อ บางทีแค่ความพยายามอาจไม่พอนะ
ใครหลายคนบอกว่าถ้าอยากเก่งให้ตั้งใจเรียน ให้ติวเยอะๆ ให้ฝึกทำข้อสอบบ่อยๆ แต่พูดก็พูดเถอะว่าบางวิชามันก็ไม่เข้าหัวจริงๆ
แล้วความตั้งใจว่าอยากเก่งขึ้นนี่ จริงๆ แล้วเขาทำกันยังไงนะ วันนี้พี่ๆ a-chieve มี 6 คำถาม สำหรับใช้เป็นแนวทางมาบอกจ้า
.
1. “เราอยากเก่งขึ้น ไปทำไมนะ?”
ขอเปิดด้วยข้อนี้ก่อนเลย เพราะคำตอบที่ได้จะเป็นเหมือนกองหนุนให้เรามีแรงพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นในเรื่องนั้นๆ ซึ่งสามารถมีได้หลายเหตุผลเลย เช่น
- อยากรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
- อยากใช้เรื่องที่เราทำได้ดีไปต่อยอดด้านการเรียนต่อหรือการประกอบอาชีพในอนาคต
- อยากใส่ในพอร์ตโฟลิโอเพื่อแสดงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเรา
- อยากรู้เฉยๆ พอดีครูถามมา เลยอยากตอบได้บ้าง
- อยากเอาความเก่งไปขิงเพื่อน (เหตุผลข้อนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นการแกล้งกันอย่างเป็นมิตรและเพื่อนก็รู้สึกโอเคด้วย ก็ไม่เป็นไรจ้า)
.
2. “แบบไหนนะที่ว่าเก่ง?”
เลือกเป้าหมายความเก่งที่เราต้องการและเลือกตัวชี้วัดความสำเร็จ เจ้า “ความเก่ง” นี้ควรเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ จับต้องได้ และมีการกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน
ตัวอย่าง
- “ถ้าชีวิตช่วง ม.ปลาย 3 ปีนี้ ฉันทำสอบวิทยาศาสตร์ได้เฉลี่ย 70 คะแนน (เต็ม100) ขึ้นไปทุกเทอม จะหมายถึงฉันมีความถนัดด้านวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าได้น้อยกว่า 70 คะแนนก็อาจจะหมายความว่าฉันไม่ถนัดวิชานี้เท่าไหร่”
- “ภายในปีนี้ ฉันจะอัปเวลตัวเองให้มั่นใจ และสามารถลงแข่ง YC ให้ได้ เพื่อพิสูจน์ว่าฉันมีความสามารถด้านการรับฟังและการให้คำปรึกษาเพื่อน”
- “ถ้าฉันสามารถศึกษา และเลือกสินค้าที่มีคุณภาพมาลองขายออนไลน์ได้ โดยไม่ขาดทุน ภายใน 3 เดือนนี้ แปลว่าฉันก็น่าจะมีความสามารถด้านการวิเคราะห์ตลาด การประชาสัมพันธ์ การขายและการจัดการสินค้า ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเก็บเข้าพอร์ตฯ เพื่อยื่นเรียนต่อได้ด้วย”
.
3. “ตัวเราในตอนนี้ทำได้แค่ไหน?”
ลองประเมินตัวเองดูว่าจากภาพที่เราตั้งไว้ในข้อ 2 กับตัวเราในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ขอให้ดูทั้งด้านความสนใจที่มี กับทักษะที่มี โดยอาจเลือกการประเมินด้วยคะแนน เช่น “เต็ม 10 หมายถึง อินมากกกกก มีทักษะสุดๆๆๆๆ” ในขณะที่ “0 คือ บ่ดั้ยเลอ ไม่ไหว ไม่เข้าหัวเลยซักนิด”
ตัวอย่าง “ถ้าพูดถึงวิชาวิทยาศาสตร์ของแผนวิทย์ ม.ปลาย สำหรับฉันในตอนนี้
- ระดับความสนใจหรือความอิน เต็ม 10 ให้ 8
- ทักษะความสามารถ เต็ม 10 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 5 แล้วกัน เพราะยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าทำได้ดีจริงมั้ย”
.
การรีวิวคะแนนแบบนี้ ควรมีหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้ เช่น ดูคะแนนสอบในรายวิชานี้ย้อนหลังต่อเนื่องซัก 1 - 3 เทอมหรือประเมินจากคะแนนเก็บปัจจุบันก็ได้
.
หากไม่มั่นใจก็ไม่เป็นไรนะ ลองขอให้เพื่อนหรือคุณครูที่เราไว้ใจช่วยรีวิวเราด้วยชุดคำถามเดียวกันนี้ก็ได้ (“ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 คิดว่าเราดูชอบวิชาวิทยาศาสตร์แค่ไหน คิดว่าเรามีทักษะวิชานี้แค่ไหน”) แล้วเอาผลคะแนนที่เราให้ตัวเอง กับคะแนนที่คนใกล้ตัวให้เรา มารวมกันเพื่อหาค่าเฉลี่ย ก็จะได้จุดตั้งต้นของการตามหาจุดเด่นของตัวเรา
.
4. “จากตอนนี้สู่เป้าหมายที่ตั้ง จะยังไงต่อดี?”
วางแผนพัฒนาตัวเองโดยมีตัวชี้วัดในข้อ 2 และ 3 เป็นหลักยึด ข้อนี้เป็นขั้นตอนที่ใครหลายคนอาจไม่ทันนึกถึง เลยทำให้การวางแผนเป็นไปไม่ได้จริง หรือยังไม่ทันลงมือก็ท้อและถอดใจเสียก่อน เพราะตั้งเป้าไว้สูงเกินจริง เทียบกับเวลาที่มีและศักยภาพความพร้อมของเรา
ข้อแนะนำสำหรับคนที่ยังลังเล คือ ให้ลองตั้งเป้าหมายให้เล็กลง ที่เรามั่นใจว่าจะทำได้ และลงมือทำอย่างเต็มที่ ครั้งต่อไปค่อยเริ่มขยับเป้าหมายให้ท้าทายมากขึ้นทีละนิด จะช่วยให้เรามีกำลังใจในการลุยต่อด้วยนะ
นอกจากนี้ ควรเปิดรับวิธีการใหม่ๆ ที่น่าลองนำมาปรับใช้กับตัวเอง อาจสอบถามจากเพื่อน รุ่นพี่ หรือคุณครูก็ได้ ว่ามีวิธีการไหนบ้างที่จะทำให้เราเก่งขึ้นในเรื่องนั้นๆ เช่น “การเรียนรู้ด้วยตัวเอง” ที่อาจทำได้ทั้งการทำข้อสอบก่อนนอน การจับกลุ่มติวกับเพื่อนทุกสัปดาห์ การลงเรียนคอร์สออนไลน์ ฯลฯ
.
5. “ลุยเรียนแบบมีสติอยู่รึป่าว?”
การมุ่งมั่นลงมือทำเป็นสิ่งดี (และควรอย่างยิ่ง หากอยากทำให้ตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลง) แต่อย่าลืมคอยทบทวน รีวิวระหว่างทางสม่ำเสมอด้วย เพื่อให้เราเห็นภาพรวมว่า เราได้ทำตามแผนที่วางไว้ (ในข้อ 4) แค่ไหนแล้ว มีอะไรที่เราจำเป็นต้องทำเพิ่ม ลด หรืออาจต้องปรับแผนบ้าง เพื่อให้การอัปเวลของเราเป็นไปอย่างราบรื่น การตะบี้ตะบันเรียนและติวสอบ อาจให้ผลไม่ดีเท่าไร หากเราทำมากไปจนร่างกายและสมองรับไม่ไหว ไม่แน่ว่าอาจส่งผลเสียให้เราปวดหัวไมเกรน หรือสมองล้าจำอะไรไม่ได้เลยก็ได้นะ
.
6. “เมื่อหมดเวลาที่ตั้งใจไว้แล้ว เกิดผลเป็นไงและเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง”
เมื่อมาถึงจุดสิ้นสุดของเวลา (ที่เราตั้งไว้ในข้อ 1) ให้ลองมารีวิวภาพรวมอีกทีเพื่อดูว่า
- เกิดผลเป็นยังไงบ้าง ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ เช่น เราได้ผลสอบคะแนนเท่าไร, เรารู้อะไรเพิ่ม หรือมีทักษะอะไรที่ทำได้คล่องแคล่วมากขึ้น
- เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ทั้งความรู้ใหม่ๆ ที่เจอ และประสบการณ์ที่เราได้จากการลงมือวางแผนและทำตามแผนในครั้งนี้ เพื่อเก็บเป็นแนวทางสำหรับพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นต่อไป
.
.
พูดตามตรงว่า สำหรับสิ่งที่เราอยากเก่ง ปุบปับจะเก่งเลยมันก็เป็นเรื่องยากจริงๆ แหละ แต่ก็อยากเชียร์ให้เชื่อมั่นในตัวเองว่าเราทำได้ เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาและความมุ่งมั่นที่ถูกทิศทางด้วย เป็นกำลังใจให้ทุกคนเลยนะ
แต่ถ้ายังเคว้ง ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดี ลองมาปรึกษาพี่ๆ a-chieve หรือจะมานั่ง #StudyWithMe ด้วยกันก็ได้ที่ดิสคอร์ดของพวกเรา ที่ https://discord.gg/mcyxarNZhK จ้า 🙂