จะไปต่อยังไง ในวันที่เพิ่งรู้ว่าไม่ชอบสายการเรียนที่เลือก

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 เวลา 08:11 • ใช้เวลาอ่าน 2 นาที
1920x960.jpg

 

รู้หรือไม่ว่าในแต่ละปี (หรืออาจถี่ระดับรายเทอม) จะมีคนรุ่นใหม่วัยเรียนจำนวนมากที่ค้นพบและเข้าใจตัวเองมากขึ้น ถึงขั้นชัดเจนว่า ‘ไม่ชอบสายการเรียนของตัวเอง’ 

ทำไมนะ ทั้งที่ตอนตัดสินใจก็คิดมาดีแล้ว วิเคราะห์ดีแล้ว หาข้อมูลก็ปึ๊กแล้ว จนได้ตัวเลือกที่น่าจะเหมาะและตรงกับตัวเองมากที่สุด


จะบอกว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกนะ ที่คนเราจะเพิ่งค้นพบคำตอบที่ชัดเจนกับตัวเองภายหลังจากที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว และเป็นสถานการณ์ที่เกิดได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย มันอาจทำให้เรารู้สึกหมดพลัง หมดแรงจะสู้หรือกระตือรือร้นในการเรียน อาจส่งผลให้เกิดความเครียด หดหู่ หรือสะสมจนนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ หากไม่มีวิธีหรือแนวทางการจัดการที่เหมาะสม วันนี้ a-chieve เลยขอนำไอเดียมาแบ่งปันกัน สำหรับน้องๆ มัธยม (และน้องๆ ระดับอุดมศึกษา) ที่กำลังเจอกับสถานการณ์นี้ จะลองนำไปใช้เป็นแนวทางให้ตัวเองฮึบไปต่อในแบบที่เข้าใจตัวเองและบริบทรอบตัวด้วย

หากสู้ชีวิตแล้วชีวิตสู้กลับ ก็ขอส่งพลังให้มีแรงตั้งหลักเพื่อสู้ชีวิตกลับไปอีกทีนะ!

 

square_02.jpg


คำแนะนำแรกที่สำคัญมากๆ และอยากชวนทุกคนที่เพิ่งค้นพบว่าเราไม่ชอบสายการเรียนหรือคณะที่เรียนอยู่ลองทำก่อนเลย คือ การนั่งนิ่งๆ อยู่กับตัวเอง เพื่อ #ทบทวนและเปิดใจแบบไม่อคติ ดูว่าสายการเรียนที่เราอยู่ (และไม่ชอบ!) นี้มีวิชาอะไรบ้าง แล้วลองจัดวิชาทั้งหมดเป็นหมวดหมู่ง่ายๆ 2 หมวด คือ 1) วิชาที่ชวนปวดใจ และ 2) วิชาที่เราชอบ สนใจ หรือเรียนพอไหว

 

พักจากวิชาในหมวดแรกที่ชวนปวดใจสักครู่ ขอเริ่มที่หมวดวิชาที่เราชอบ สนใจ หรือเรียนพอไหวก่อน

 

square_03.jpg


1. ทำสิ่งที่ชอบให้ได้ดี และลงเรียนเพิ่ม

สังเกตดูว่า ในหมวดข้อ 2) วิชาที่เราชอบ สนใจ หรือเรียนพอไหว มีวิชาอะไรบ้าง หน่วยกิตเท่าไร หากทบทวนและมั่นใจแล้วว่านี่คือสิ่งที่ใช่สำหรับเรา ก็ขอให้เรียนให้เต็มที่ เอาให้เข้าใจแบบทะลุปรุโปร่งไปเลย เราอยากเชียร์ให้เรียนหรือสืบค้น หาความรู้และประสบการณ์เพิ่มด้วย อาจเป็นการเรียนพิเศษ จัดกลุ่มติวกับเพื่อนที่สนใจเหมือนกัน หรือแม้แต่เรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านสื่อการเรียนรู้ออนไลน์และออฟไลน์


2. จัดการตัวเอง จัดการเวลา ให้ได้มีเวลาทำสิ่งที่ชอบเพิ่มเติม

เวลาที่เราใช้เมื่อทำสิ่งที่ชอบมักมีจำกัด แต่อยากให้เชื่อว่า หากเราอินและชอบในวิชานั้นจริงๆ เราจะสามารถจัดสรรเวลาและชีวิตตัวเองเพื่อมองหาโอกาสไปเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้อีกเยอะมาก และสิ่งนี้ล่ะที่จะทำให้เรามีฐานความรู้และความถนัดที่เข้มข้นและชัดเจนขึ้น พร้อมสำหรับต่อยอดทั้งในแง่การเรียนและโอกาสการทำงาน

 

ความสนใจมีที่ทางเรียบร้อย ทีนี้ลองกลับมาที่หมวดวิชาที่เห็นแล้วหัวจะปวดกัน

 

square_04.jpg


3. ประคองตัวเองรับผิดชอบหน้าที่เดิมที่มี 

ต้องยอมรับว่าเราไม่สามารถกดปุ่มเปลี่ยนสายการเรียนได้ปุบปับอย่างใจอยาก แต่ในขณะที่เรากำลังเผชิญหน้ากับวิชาที่ไม่ชอบ ก็อยากชวนให้ตั้งสติเพื่อประคองตัวเองให้อดทนตั้งใจเรียนวิชายาขมเหล่านั้นไปก่อน เครื่องมือที่จะช่วยให้เราผ่านช่วงเวลายากๆ นี้ไปได้ อาจเป็นการตั้งเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อให้เราไม่หวั่นไหวหรือถอดใจเสียก่อน การมองหาความช่วยเหลือใกล้ตัว อย่างการพูดคุยระบายความกังวลกับเพื่อนสนิท หรือการปรึกษาคุณครู เป็นต้น  

ทักษะการก้าวผ่านความท้าทายเมื่อต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบโดยที่ยังรักษามาตรฐานการมีวินัยและความรับผิดชอบของเรา รวมถึงการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดเวลาแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่ารัก ถือเป็นทักษะสำคัญของชีวิตที่จำเป็นทั้งในโลกการเรียนและการทำงานเลยล่ะ

 

ทำข้อ 1 - 3 ได้อยู่มือแล้ว ก็ไปข้อต่อไปกันได้

square_05.jpg


4. สื่อสารกับที่บ้านอย่างตรงไปตรงมา ให้คาดหวังตรงกัน เผื่อใจไว้ก่อน 

ข้อนี้อาจเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับใครหลายคน เพราะบางครอบครัวมีความคาดหวังและความกดดันด้านการเรียน บางครอบครัวมีต้นทุนสนับสนุนค่าเล่าเรียนจำกัด และผู้ใหญ่ในหลายๆ ครอบครัวก็อาจยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรียนไม่ได้ ใครๆ เขาก็เรียนกันได้นี่ 

การสื่อสารกับที่บ้าน ที่เรากำลังพูดถึงนี้ ไม่ใช่มุ่งเพื่อร้องขอความอนุญาตให้เปลี่ยนสายการเรียนในทันที แต่มันคือการอัพเดตสถานการณ์และสภาวะที่เรากำลังเผชิญ ว่าเราค้นพบแล้วว่าเราสนใจอะไร ด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งอาจขัดกับสายการเรียนในปัจจุบัน และเป็นการปรับจูนความคาดหวังให้ตรงกัน ให้ที่บ้านเองมีเวลาได้เตรียมใจ เผื่อใจไว้ก่อน ว่าสภาพจิตใจของเราอาจส่งผลให้เรียนไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือได้ผลการเรียนที่ไม่ดีอย่างที่ที่บ้านคาดหวัง และถึงแม้เราจะตั้งใจเรียนจนจบ (ในกรณีที่ไม่สามารถเปลี่ยนสายการเรียนได้) เราก็อาจไม่เลือกเรียนต่อในด้านนั้นๆ เพราะมีตัวเลือกอื่นที่เหมาะสมกับตัวเรามากกว่า 

 

square_06.jpg


5. วางแผน เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต 

ทยอยมองหาข้อมูลว่ามีตัวเลือกอะไรอีกบ้างที่เราจะได้ทำในสิ่งที่ชอบ หรือถ้าเป็นไปไม่ได้จริงๆ ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ก็ลองดูว่า มีตัวเลือกไหนที่อยู่กึ่งกลาง เจอกันครึ่งทางได้บ้าง เช่น 

  • เราค้นพบว่าสนใจสายการเรียน A แต่ไม่สามารถเปลี่ยนสายได้ อาจลงเรียนเป็นวิชาเลือกเสรีหรือเข้าชมรมแทน 
  • เจอกันครึ่งทางด้วยข้อตกลง อย่างการทำคะแนนสอบให้ถึงเกณฑ์ เพื่อแลกกับสิทธิ์การไปค่ายที่เราสนใจ
  • บางครอบครัวที่คาดหวังอยากให้ลูกเป็นหมอ แต่ลูกชอบเรียนภาษา อาจสื่อสารให้เจอกันครึ่งทางได้ คือ การเข้าศึกษาต่อด้านแพทย์แผนจีน เป็นต้น


แนวทางที่ว่ามานี้ ฟังดูทำได้ง่าย แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเส้นทางที่ท้าทายมากพอสมควร มันต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจ รวมถึงอาศัยเวลาและทรัพยากรหลายอย่าง ถึงอย่างนั้นเราก็อยากขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ค้นพบตัวเอง ได้มีแรงลุยสู้ชีวิตต่อ เราต่างต้องรับผิดชอบกับการตัดสินใจที่ตัวเองเลือกพลาด (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด) ก็จริง แต่เชื่อเถอะว่าสิ่งที่เราได้เรียนรู้และประสบการณ์การก้าวผ่านภาวะยากๆ นี้ จะเป็นพื้นฐานสำคัญให้เราออกแบบเส้นทางในอนาคตได้เหมาะสม เข้าใจตัวเองและเงื่อนไขรอบตัวเราได้ดีขึ้นนะ

 

 


avatar-ฝ่ายจัดการความรู้และดูแลงานเขียน
เมธ์วดี ฝ่ายจัดการความรู้และดูแลงานเขียน

ฟัง พูด อ่าน เขียน อยู่ทุกวัน ทุกเวลายกเว้นตอนนอน

avatar-นักออกแบบภาพ
พิมพ์พร นักออกแบบภาพ

ความฝันของช่วงวัยใกล้แตะ 30 คืออยากมีหมาคอกี้เป็นของตัวเอง

Tag :

บทความแนะนำ

ไม่มีข้อมูล

กิจกรรมแนะนำ

ไม่มีข้อมูล