ผ่านไปให้ได้นะ!
How-to เอาตัวรอดในวันที่วิชาที่เคยชอบกลายเป็นยาขม
.
มีใครเจอสถานการณ์แบบนี้บ้างไหมนะ?
จังหวะชีวิตที่พบว่า วิชาที่เราเคยเอ็นจอย กลับกลายเป็นเรื่องชวนปวดหัวปวดใจ จะเข้าเรียนแต่ละทีต้องฮึบขุดพลังกันก่อน แถมยิ่งเรียนไปยิ่งพบว่าไม่ชอบหนักกว่าเดิมอีก!
.
อยากบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร
เพราะเราต่างเติบโตขึ้น มีชุดประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น ในขณะที่ตัวเนื้อหาบทเรียน ผู้สอน คนที่เรียนด้วย รวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ดังนั้นมันเลยอาจมีโอกาสที่วิชาสุดโปรดในวัยเด็กของเรา จะรั้งตำแหน่งหนึ่งในดวงใจไม่ได้แล้ว
แต่จะหยุดเรียนหรือเลิกเรียนเลยคงไม่ได้ จะให้สะกดจิตตัวเองว่า “เรียนๆ ไปเถอะ เดี๋ยวก็หมดเทอมหมดปีแล้ว” ก็ไม่ได้อีก
วันนี้ a-chieve เลยอยากมาแชร์แนวทางตั้งหลักตัวเองให้เอาตัวรอดผ่านช่วงเวลาหนักใจแบบนี้ไปให้ได้ มาฝากค่ะ

1. เข้าใจตัวเองและหาสาเหตุให้พบ (จะได้แก้ถูกจุด)
สังเกตตัวเองว่าตอนนี้เราสนใจอะไร ถนัดการเรียนรู้รูปแบบใด ชอบเรียนกับผู้สอนแบบไหน หรือมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เราไม่ชอบวิชานั้นๆ แล้ว
ไม่แน่ว่า สิ่งที่เราเบื่อหรือไม่ชอบ อาจไม่ใช่ตัวรายวิชานั้นๆ แต่เป็นบรรยากาศในการเรียน ครูดุ ผิดใจกับเพื่อนทำรายงานกลุ่ม ต้องทำการบ้านเยอะ เนื้อหาไม่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เรากดดันตัวเองจนไม่รู้สึกสนุกกับการเรียน หรือมีเหตุอื่นมาทำให้เราหลุดโฟกัสไปจนเรียนไม่รู้เรื่องก็ได้

2. มองหาโอกาสใหม่ๆ มาช่วยรีเฟรชใจ
ท้าทายตัวเองให้ลองทำกิจกรรมหรือฝึกทักษะเพิ่ม อาจเป็นการเข้ากลุ่มกับเพื่อนใหม่ ไปค่ายวิชาที่เคยชอบ ให้ได้เจอกับคนที่อินเหมือนกัน รวมถึงอัพเวลประสบการณ์ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนในวิชานั้นๆ เช่น เป็นไกด์อาสาให้ชาวต่างชาติเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ หรืออ่านนิยายวิทยาศาสตร์เพื่อเปิดโลกด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

3. ประเมินจุดแข็งจุดอ่อนตัวเองในวิชานั้นๆ เพื่อพัฒนาต่อ
อยากชวนให้เปิดใจว่า แม้วิชานั้นจะเป็นยาขม แต่เชื่อเถอะว่ามันจะมีอะไรบางอย่างที่เราพอทำได้หรือทำได้ดี อาจเป็นบางหัวข้อที่เราเข้าใจได้ไวก็ได้ สิ่งสำคัญคือ ให้ลองประเมินตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่า ในรายวิชานั้นๆ เรามีจุดแข็งและจุดอ่อนในเรื่องใดบ้าง จะได้พัฒนาจุดแข็งต่อ และหาทางปรับจุดอ่อนให้ดีขึ้นต่อไป

4. ปรึกษาพ่อแม่ เพื่อน หรือคุณครูที่เราวางใจ
อย่าเก็บเอาความหน่วงในใจนี้ไว้คนเดียว เพราะการได้ระบายความรู้สึก ได้พูดคุยกับผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่เราวางใจ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เราจะได้ทบทวนตัวเองไปด้วย ลองสังเกตดูว่าเรื่องที่เรามักบ่นหรือพูดถึงเป็นเรื่องอะไร แล้วพวกเขาเหล่านั้นมีคำแนะนำอะไรบ้างที่เราเองน่าลองเอามาทำตาม

5. เปิดใจคุยกับครูผู้สอน
ยาขมหม้อใหญ่อาจเล็กลงได้ หากมีโอกาสได้สื่อสารกับคุณครูที่สอนวิชานั้นๆ อย่างตรงไปตรงมาว่า เรามีความมุ่งมั่นและอยากตั้งใจเรียน แต่ตอนนี้ติดปัญหาอะไรบ้าง เช่น มีหัวข้อที่ไม่เข้าใจ เรียนไม่ทันเพื่อน รู้สึกหมดพลัง ฯลฯ จึงมาขอปรึกษาและขอคำแนะนำจากครู เพื่อให้เรานำไปพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
***หมายเหตุ: ต้องไม่ลืมว่า ครูแต่ละคนมีเทคนิกและรูปแบบการสอนต่างกัน ครูอาจไม่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างให้ได้อย่างใจเรา แต่ก็ขอให้ใช้โอกาสนี้บอกเจตนาและความตั้งใจของเราที่อยากเอ็นจอยกับวิชานั้นๆ และสื่อสารกับครูด้วยความเคารพในฐานะครู-ลูกศิษย์ด้วยนะ :)

6. วางแผนสำหรับอนาคต
หากทำทุกทางแล้วแต่วิชายาขมหม้อนั้นยังชงมาแบบเข้มๆ อยู่ ขอเสนอให้ลองทำแผนสำหรับอนาคต ทั้งเรื่องการเรียนต่อและเป้าหมายชีวิต ว่าคณะไหน สายการเรียนไหน หรืออาชีพอะไรบ้าง ที่มีสัดส่วนความรู้หรือทักษะที่ต้องใช้ เหมาะสมกับเรา เพื่อให้มีแนวทางไปต่อที่เหมาะทั้งกับตัวเองและบริบทเงื่อนไขหรือโอกาสรอบตัว
.
สุดท้ายนี้ ขอแสดงความยินดีสำหรับคนที่ปรับจูนจนกลับไปรู้สึกชอบวิชาที่เคยเป็นยาขมได้ จากนี้ไปก็ขอเชียร์ให้มุ่งมั่นเรียนต่อและวางแผนสำหรับอนาคตที่เหมาะกับตัวเองนะ
.
และสำหรับคนที่พยายามแบบสุดทางแล้วแต่ยาขมก็ยังคงเป็นยาขมจริงๆ ก็ต้องขอชื่นชมในความอดทน อยากบอกว่า นอกจากการพยายามรักษาระดับผลการเรียนไปพร้อมๆ กับดูแลใจตัวเองแล้ว จากนี้ไปจะถือเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะค่อยๆ ค้นหาและออกแบบเส้นทางชีวิตในอนาคตที่ตรงกับความชอบ ความสนใจ และทักษะที่เรามี เพื่อให้เจอสายการเรียนหรือการทำงานประกอบอาชีพในอนาคตต่อ
.
a-chieve ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนเลย บีบมือส่งพลังให้แบบบรึ้มๆ
ลุยต่อนะ!