
นิยามสั้นๆ
ผู้ใช้ความรู้ด้านการแพทย์หาสาเหตุของปัญหาและวิธีการช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ
📃 ลักษณะงาน
- ขึ้นอยู่กับสาขาความชำนาญ ในช่วงแรกเมื่อเรียนจบเป็นหมอทั่วไป หรือที่เรียกว่าแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป (GP - General Practitioner) ลักษณะงานจะเป็นการทำงานด้วยความชำนาญกว้างๆ ดูแลได้ทุกโรคตามความสามารถ ทำตามคำสั่งของแพทย์ที่ชำนาญกว่า แต่เมื่อเรียนต่อเฉพาะทางลักษณะงานจะเป็นไปตามสาขาความชำนาญของตน เพื่อใช้ความชำนาญที่ลึกขึ้นในการรักษาโรค เช่น ศัลยแพทย์ (หมอผ่าตัด) จะดูแลเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัด และทำงานอยู่แต่ในห้องผ่าตัด จิตแพทย์จะดูแลเฉพาะผู้ป่วยจิตเวช ใช้ความรู้ความสามารถและวิธีการรักษาตามแนวทางจิตเวช เป็นต้น
- ลักษณะงานของแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ได้แก่
- ตรวจวินิจฉัย
- ให้คำแนะนำ ให้การรักษา
- ทำหัตถการ
โดยงานทั้งหมดจะมีขอบเขตตามระดับความสามารถที่แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปทำได้ หากเกินขอบเขตความรู้ความสามารถจะต้องปรึกษาหรือส่งต่อให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
- หน้าที่งานแบ่งตามแผนกผู้ป่วย ตัวอย่างเช่น
- ผู้ป่วยนอก หรือแผนก OPD (Outpatient Department) ตรวจวินิจฉัย ให้การรักษาเบื้อต้น
- ผู้ป่วยใน หรือแผนก IPD (Inpatient Department) ตรวจดูอาการตอนเช้า และเย็น
- ผู้ป่วยคลอด หรือแผนก LR (Labor Room) ทำคลอดผู้ป่วย
- แผนกห้องฉุกเฉิน ER (Emergency Room) ทำการรักษาผู้ป่วยนอกทั่วไป
- ผู้ป่วยศัลยกรรม หรือแผนก OR (Operation Room) ทำการผ่าตัดผู้ป่วย
📊 ขั้นตอนการทำงาน
- รวบรวมข้อมูลเพื่อการวินิจฉัยโรค เช่น จากการตรวจร่างกาย พูดคุยสอบถาม สังเกต ดูข้อมูลผลตรวจและประวัติสุขภาพ เป็นต้น
- หาสาเหตุ และวิธีการรักษา
- วางแผนการรักษา (อาจวางแผนร่วมกับแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะทางสาขาอื่นๆ หรือร่วมกับผู้ป่วย)
- ดำเนินการรักษา
- ติดตามผลการรักษา เช่น นัดผู้ป่วยมาติดตามผล เดินตรวจดูอาการของผู้ป่วยในตอนเช้าและเย็น เป็นต้น
👩🏻💻 อาชีพที่ต้องทำงานร่วมกัน
- พยาบาล เป็นอาชีพที่แพทย์ต้องร่วมงานด้วยมากที่สุด ไม่ว่าจะทำงานในสาขาหรือแผนกใดก็ตาม นับได้ว่าเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีความสำคัญต่อชีวิตและการทำงานของแพทย์มาก และมีส่วนช่วยให้การทำงานของแพทย์ราบรื่น
- เภสัชกร ส่วนมากเป็นการทำงานร่วมกันผ่านการติดต่อทางโทรศัพท์ เพื่อสอบถามและให้ข้อมูล
- หากเป็นแพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลชุมชน มีโอกาสสูงที่จะได้ทำงานร่วมกับอาชีพต่างๆ ในโรงพยาบาล เนื่องจากต้องช่วยกันทำทุกหน้าที่และมีจำนวนบุคลากรไม่มาก
- หากทำงานส่วนบริหาร อาจต้องทำงานร่วมกับอาชีพในแผนกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานหรือโครงการที่รับผิดชอบ เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT - Information Technology) เจ้าหน้าที่ฝ่ายพัสดุ เป็นต้น
🏢 สถานที่และเวลาทำงาน
- สถานที่ทำงานของแพทย์ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกทำงานที่ใด สาขาความเชี่ยวชาญใด ตัวอย่างสถานที่ทำงาน เช่น
- โรงพยาบาลรัฐ เช่น โรงพยาบาลศูนย์ (โรงพยาบาลจังหวัด) โรงพยาบาลชุมชน
- โรงพยาบาลเอกชน เช่น คลินิก ศูนย์ความงาม
- สถานที่ทำงานเฉพาะทางที่มีฝ่ายงานด้านสุขภาพ เช่น แท่นขุดเจาะ โรงงาน เป็นต้น
- เวลาทำงานคือช่วงเวลาทำการหรือช่วงเวลาทำงานที่กำหนดของสถานที่ทำงาน ตัวอย่างเวลาทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาล คือ
- เวลาทำงานราชการ 7.30 -16.00น. + เวลาลงเวร (ถ้ามี)
- เวลาลงเวรคือ 16.00 - 7.30น. ของวันรุ่งขึ้น หมายถึงต้องทำงานติดต่อกัน 32.5 ชั่วโมงถ้ามีเวรในวันนั้น (ถ้าอยู่สองเวรติดกันสองวัน หมายถึง ทำงานติดต่อกัน 56.5 ชม)
- งานที่ต้องทำในช่วงเวลาอยู่เวรอาจมีมากหรือน้อยก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละวัน แต่ในบริบทประเทศไทย แพทย์ประจำที่อยู่เวรมักจะไม่ว่าง เพราะจะมีคนไข้ที่ต้องดูแลจำนวนมาก
- นอกจากนี้ยังมีเวรห้องฉุกเฉิน ที่แพทย์ทุกคนในโรงพยาบาลต้องมาช่วยกัน หากโรงพยาบาลมีแพทย์จำนวนน้อย แพทย์อาจต้องมีเวรห้องฉุกเฉินซ้อนทับกับเวรที่ต้องรับผิดชอบด้วย
✅ ความรู้ความสามารถที่ต้องใช้
- มีองค์ความรู้ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่แพทย์ต้องมี ต้องรู้สาเหตุการป่วย รู้ขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อไป
- มีความสนใจในความรู้วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ชอบและสนใจชีววิทยา ซึ่งความสนใจและความชอบจะทำให้การทำงานมีความสุขมากขึ้น
- ชอบเรียนรู้ตลอดเวลา ชอบอ่านหนังสือ ชอบหาความรู้
- มีทักษะการสื่อสาร ต้องสื่อสารทั้งกับผู้ร่วมงานและกับผู้ป่วยได้ชัดเจน เข้าใจ สามารถอธิบาย และประนีประนอมได้
- มีความอดทนกับปริมาณงานและความรับผิดชอบที่หนักมาก
- มีความสามารถในการจัดการอารมณ์และความเครียดที่เกิดจากการทำงาน ซึ่งมีความกดดันมาก
- มีลักษณะอุปนิสัยและทักษะความสามารถเชิงสมรรถนะ (Soft Skill) เช่น การจัดการ การตัดสินใจ การเจรจา การแสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องเรียนรู้และสะสมจากประสบการณ์ด้วยตนเอง เพราะการเรียนการสอนของแพทย์มักเน้นที่ความรู้ทางวิชาการ
- ในที่สุดแล้ว ทักษะต่างๆ ที่จำเป็นนั้นจะขึ้นอยู่กับสาขาความชำนาญเฉพาะทาง เพราะแต่ละสาขาใช้ทักษะที่ต่างกันมาก
- เรียนมัธยมจบสายไหนมาก็สอบเข้าเรียนต่อแพทย์ในระดับปริญญาตรีได้ โดยต้องสอบให้ครบและสอบผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด
- ต้องมีใบประกอบวิชาชีพแพทย์คู่กับวุฒิปริญญา จึงจะสามารถประกอบอาชีพแพทย์ได้
💵 โอกาส ความท้าทาย และผลตอบแทน
- การสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ จะมีการสอบความรู้ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยแพทยสภา 3 ครั้ง คือ ในขณะที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 3, 5 และ 6 โดยต้องสอบผ่านทั้ง 3 ครั้ง จึงจะได้ใบประกอบวิชาชีพเป็น “แพทย์ทั่วไป”
- การใช้ทุนของแพทย์ที่เรียนจบแล้วนั้น ขึ้นอยู่กับทุนที่ได้รับ โดยส่วนใหญ่จะต้องทำงานใช้ทุน 3 ปี ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย ตัวอย่างการใช้ทุน เช่น
- ปีที่ 1 เป็นการทำงานปีแรกหลังเรียนจบ จะถูกเรียกว่าแพทย์ใช้ทุน (Intern ปี 1) หรือแพทย์เพิ่มพูนทักษะ ทำงานใช้ทุนในโรงพยาบาลใหญ่ เพื่อเรียนรู้และทำทุกอย่างในทุกแผนกสาขาของโรงพยาบาล ทำตามที่แพทย์ผู้ชำนาญแต่ละสาขามอบหมาย เป็นปีที่พิเศษที่สุด ต้องทำหน้าที่แพทย์อย่างเต็มตัว และต้องผ่านปีนี้ไป จึงจะสามารถสมัครเรียนต่อได้เมื่อทำงานใช้ทุนครบ 3 ปี
- ปีที่ 2 - 3 จะถูกย้ายไปทำงานในโรงพยาบาลชุมชนที่มีขนาดเล็ก และมีความพร้อมในด้านเครื่องมือและจำนวนแพทย์ต่ำกว่าโรงพยาบาลในปีแรก แพทย์ใช้ทุนปี 2 - 3 ต้องรับผู้ป่วยเองเกือบทั้งหมด และประเมินรวมถึงจัดการว่าสามารถช่วยได้ด้วยตนเองหรือต้องส่งต่อ การทำงานใน 2 ปีนี้จะไม่มีแพทย์ที่ชำนาญกว่าช่วยดูแลหรือสั่งการอีกต่อไป ต้องทำงานด้วยตนเองมากขึ้น และปรึกษาขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้ชำนาญเมื่อเจอเคสที่ต้องการความรู้และทักษะที่สูงกว่าที่ตนเองมี
- เลือกจังหวัดที่จะไปทำงานใช้ทุนด้วยการจับฉลาก หากเป็นจังหวัดที่มีคนเลือกมาก ก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะได้ไปทำงานจังหวัดนั้นๆ น้อยลง
- การสมัครเพื่อขอรับทุนเพื่อเรียนแพทย์นั้น ต้องตรวจดูและทำความเข้าใจเงื่อนไขการใช้ทุนให้ละเอียดมากๆ เพราะบางโครงการที่เสนอทุนให้นั้นมีข้อกำหนดที่จำกัดมาก เช่น กำหนดให้เรียนต่อเฉพาะทางได้เพียงบางสาขาเท่านั้น หรือไปทำงานใช้ทุนได้เฉพาะที่บางจังหวัดเท่านั้น รวมถึงต้องตรวจดูและพิจารณาค่าชดเชยที่ต้องจ่าย หากตัดสินใจยกเลิกสัญญาทุน
- หากเรียนแพทย์จากมหาวิทยาลัยเอกชนซึ่งต้องจ่ายค่าเรียนเอง การไปทำงานหลังเรียนจบไม่จำเป็นต้องจับฉลาก
- เมื่อทำงานใช้ทุนครบ 3 ปีแล้ว อาจเลือกเรียนต่อเฉพาะทางตามที่สนใจ
- เมื่อกลับมาเรียนต่อเฉพาะทาง จะถูกเรียกว่าแพทย์ประจำบ้าน (Resident) ซึ่งการเรียนต่อจะเป็นการทำงานจริงและเป็นการเรียนปฏิบัติกับอาจารย์แพทย์ ซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ
- เมื่อเรียนเฉพาะทางจบแล้ว จะถูกเรียกว่าแพทย์เฉพาะทาง (Medical Specialist) ถือว่าเป็นอาจารย์แพทย์ที่มีความชำนาญด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งในการทำงานจริงบางครั้งอาจจำเป็นต้องปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางแผนกอื่นเพื่อการรักษาผู้ป่วยที่ดีที่สุด
- แพทย์เฉพาะทางสามารถศึกษาความชำนาญเฉพาะทางต่อไปได้อีก เช่น อายุรศาสตร์โรคหัวใจ อายุรศาสตร์โรคทางเดินอาหาร เป็นต้น เมื่อเรียนจบแล้วจะถูกเรียกว่าแพทย์ประจำบ้านต่อยอด (Fellowship)
- สามารถศึกษาต่อได้ทั้งในและต่างประเทศ สามารถศึกษาต่อได้ไม่มีที่สิ้นสุด
- ฐานเงินเดือนเริ่มต้นของแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐคือ 18,000 - 20,000 บาท แต่เมื่อรวมค่าอยู่เวร ค่าชดเชยทำงานในพื้นที่ห่างไกล (เบี้ยทุรกันดาร) แล้วอาจอยู่ที่ประมาณ 40,000 - 90,000 บาท โดยเงินค่าตอบแทนโดยรวมของแพทย์ขึ้นอยู่กับจำนวนเวร พื้นที่และโรงพยาบาลที่ทำงานว่าเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน
- หากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลและทำงานในโรงพยาบาลรัฐ จะได้รับสิทธิสวัสดิการข้าราชการทันทีโดยไม่ต้องสอบเป็นข้าราชการ หากทำงานโรงพยาบาลเอกชนจะได้รับสวัสดิการประกันสังคม ค่าอาหาร หรือค่ารักษาพยาบาล และค่าอื่นๆ ตามข้อตกลงในการจ้างงาน
- ต้นทุนที่ใช้เพื่อแลกมากับการทำงานอาชีพแพทย์ค่อนข้างสูง เช่น
- เงิน: ค่าเทอม ค่าอุปกรณ์การเรียน
- เวลา: เวลาที่ใช้เรียนซึ่งใช้เวลาค่อนข้างนาน เวลาที่ใช้เข้าสังคมกับเพื่อน หรือเวลาที่ใช้ดูแลคนรอบข้างมีน้อย
- ต้นทุนสุขภาพที่ใช้ในการเรียนและการทำงานหนัก
- สิ่งที่ได้รับจากการทำงานอาชีพแพทย์ นอกเหนือจากรายได้
- ได้ช่วยชีวิต ช่วยเหลือผู้อื่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อทำงานมากขึ้นได้ช่วยคนจำนวนมากขึ้น แต่จำนวนคนที่ช่วยไม่ได้ก็มีมากขึ้นเช่นกัน
- ได้รับความเคารพนับถือเป็นพิเศษกว่าคนทั่วไป
- เข้าถึงองค์ความรู้ได้มากกว่าคนอื่น และมีเครือข่าย (Connection) ในสังคมแพทย์
- เข้าถึงการรักษา โดยอาจเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ หรืออาจสามารถขอนัดหมายพิเศษเพื่อปรึกษาอาจารย์แพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้
- ความเสี่ยงในการประกอบอาชีพแพทย์
- ทางร่างกาย เสี่ยงกับทุกโรค เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยและทำงานในโรงพยาบาล
- ทางจิตใจ มีความเสี่ยงจากความเครียดและความกดดันในการทำงาน
- ในช่วงโรคระบาด โรคอุบัติใหม่ ที่ระบบสาธารณสุขไม่พร้อม แพทย์จะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ต้องเสี่ยงในทุกๆ ทาง
- แนวทางของแพทย์และการรักษาในอนาคต
- การตรวจทางไกลน่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และทำได้อย่างสะดวกมากขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการเข้าถึงการรักษาได้บางส่วน อย่างไรก็ดี การวินิจฉัยโรคที่สมบูรณ์นั้นเป็นการตรวจแบบพบตัวผู้ป่วย เพราะต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงการตรวจร่างกาย
- AI อาจมาช่วยให้การทำงานของแพทย์สะดวกขึ้นได้ในสาขาที่เป็นการวิเคราะห์อย่างมีระบบแบบแผน เช่น การตรวจวิเคราะห์เนื้อเยื่อหรือของเหลวของผู้ป่วย หรือในศพผู้ป่วย การอ่านผลเอกซเรย์ เป็นต้น แต่การวินิจฉัยโรคน่าจะยังไม่สามารถทำได้
🖥️ ช่องทางการศึกษาความรู้เพิ่มเติม
laohaiFrung
ชีวิตการเรียนแพทย์ของ ฟรัง นรีกุล
https://www.youtube.com/c/laohaiFrung
ค่ายสำหรับนักเรียนที่อยากเรียนต่อแพทย์
- ค่าอยากเป็นหมอ โดยสโมสรนิสิตคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://www.facebook.com/MDCUmedcamp/
- ค่ายเส้นทางสู่หมอศิริราช จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.facebook.com/sirirajmedcamp23
- ค่ายรามาปณิธาน โดยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
https://ramapanitharn25th.wixsite.com/home
- ค่ายฝันเป็นหมอขอได้ไหม โดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
https://www.meddream.medtu.org/
https://www.facebook.com/MeddreamMEDTU/
- ค่ายเปิดเสื้อกาวน์ (Opengown Camp) โดยคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล
📚 ข้อมูลสายการเรียนที่เกี่ยวข้อง
มัธยมศึกษาตอนปลาย
- สายวิทย์-คณิต
- (ปัจจุบันมีโอกาสสำหรับนักเรียนทุกสายการเรียน แต่จำเป็นต้องมีความรู้และทักษะ สามารถสอบวัดระดับและผ่านเกณฑ์คัดเลือกต่างๆ ตามที่กำหนดด้วย)
ปริญญาตรี เช่น
- คณะแพทยศาสตร์
- วิทยาลัยแพทยศาสตร์
- สำนักวิชาแพทยศาสตร์
- วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข
ปริญญาโท เช่น
- (ขึ้นอยู่กับความสนใจและเป้าหมายในการต่อยอดในสายอาชีพแพทย์สาขานั้นๆ เช่น กายวิภาคศาสตร์, พิษวิทยา, สรีรวิทยา, สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ฯลฯ)
*ข้อมูล ณ ปี 2567
🌐 แหล่งอ้างอิง